บทที่ 2
‘ไอ้ไฟ! มานี่’
‘ครับเจ้าสัว’
อัคคีรับคำเสียงแผ่วเบา เดินตัวลีบมาคุกเข่านั่งอยู่หน้าเจ้าสัวคมณ์และคุณหนูณัฐณดา ที่กำลังมองเขาอย่างเยาะหยันในทุกนาที
‘มึงไปตามพ่อมึงให้มาหากูเดี๋ยวนี้ กูให้เวลามึงห้านาที ถ้าชักช้านักกูจะตัดเงินเดือนพวกมึงทั้งสามคน’
เจ้าสัวคมณ์สั่งเสียงห้วนจัดพร้อมกับขู่ไปพร้อมๆ กัน และคุณหนูณัฐณดาก็ยุให้บิดาทำตามที่พูดทันที
‘ตัดเงินเดือนพวกมันเลยค่ะคุณพ่อ’
อัคคีซึ่งก้มหน้านิ่งไม่กล้าเงยหน้ามองหน้าเจ้าสัวคมณ์ ได้แต่กัดฟันแน่นเจ็บใจที่เขาและบุพการีทั้งสองต้องเกิดมาเพื่อตกเป็นเบี้ยล่างของคนรวย
‘ฮึ! ตัดเงินเดือน แค่เงินเดือนที่พ่อกับแม่ได้รับทุกวันนี้ รวมกันแล้วยังไม่ถึงหมื่นเลย แล้วจะตัดเงินเดือนหาพระแสงอะไรอีก’
อัคคีเค้นเสียงค้านอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมาตามที่กำลังนึกคิด ไม่เช่นนี้แล้วคงได้กินรสมือรสเท้าจากเจ้าสัวคมณ์แน่
‘จะนั่งบื้ออยู่ทำไมอีกไอ้ไฟ ไม่ได้ยินหรือยังไง พ่อฉันบอกให้แกไปตามไอ้แก้วมาพบเดี๋ยวนี้’
ไม่มีคำว่าเคารพคนที่มีอายุมากกว่า ไม่มีความนับถือให้กับเหล่าคนใช้ คุณหนูณัฐณดาเรียกพ่อของอัคคีด้วยคำขึ้นต้นว่า ไอ้ เหมือนที่บิดาใช้เรียกคนเหล่านี้
อัคคีข่มความเจ็บปวดจากการถูกเหยียดหยามไว้ข้างในใจ ใบหล่อเหลาเงยขึ้นมองคนที่ออกคำสั่งกับตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับคำเสียงแผ่วเบา
‘ครับคุณน้ำขิง ผมจะไปตามคุณพ่อเดี๋ยวนี้ครับ’
เผียะ!!!
สิ้นคำพูดของอัคคี มือเล็กของณัฐณดาก็ซัดหนักๆ ลงไปบนศีรษะของอัคคี พร้อมกับการแผดเสียงชี้นิ้วด่าด้วยความโกรธจัด
‘ไอ้ไฟ ไอ้สมองขี้เลื่อย ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่าคุณหนูน้ำขิง’
ไม่ใช่แค่ตบหัวเท่านั้น ณัฐณดายังใช้ตุ๊กตาหมีที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนฟาดลงไปบนลำตัวของอัคคีอีกรอบ ขณะตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
‘แกมีสมองบ้างไหมไอ้ไฟ หรือว่าแกมีหัวไว้แค่ตัดผมอย่างเดียว ทำไมแกจำไม่ได้สักทีว่าต้องเรียกฉันว่าคุณหนูน้ำขิง’
อัคคีกัดเนื้อด้านในริมฝีปากจนเลือดซึม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ อันเกิดจากการกลืนก้อนสะอื้นและความเจ็บใจไว้ข้างในใจลึกๆ
‘ผมขอโทษครับคุณหนูน้ำขิง’
‘อย่าขอโทษแค่ปากเปล่า ยกมือไหว้ฉันด้วย’
ณัฐณดาชี้นิ้วด่าออกคำสั่งเสียงห้วนๆ ยังไงๆ ก็ต้องให้ลูกของขี้ข้ายกมือไหว้เธอให้จงได้
อัคคีกัดริมฝีปากของตนเองจนด้านชา ลำคอแห้งเป็นผง เมื่อจำต้องยกมือขึ้นไหว้ณัฐณดาคนที่มีอายุอ่อนกว่าตัวเองถึงห้าปีเต็ม ทว่ามีฐานะเป็นเจ้านายของตัวเอง
‘ผมขอโทษครับคุณหนูน้ำขิง’
ณัฐณดายิ้มเยาะตรงมุมปาก ดวงตากลมโตจ้องมองคนที่กำลังยกมือไหว้ตัวเองอย่างเหยียดๆ รู้สึกสะใจในทุกครั้งที่สามารถแกล้งอัคคีได้
‘ขอโทษเสร็จแล้วจะนั่งทำบื้อทำไมอีก ทำไมไม่ไสหัวไปตามไอ้แก้วมาหาพ่อของฉัน’
‘ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ’
อัคคีเดินเข่าถอยห่างออกมาหลายสิบก้าว ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนช้าๆ แต่ไม่ทันเดินออกจากห้องโถงใหญ่ก็ถูกคุณหนูณัฐณดาเรียกไว้เสียก่อน
‘เดี๋ยว! ไอ้ลูกขี้ข้าอย่าเพิ่งไป’
อัคคีต้องกัดฟันกรอดทุกครั้งที่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้ เด็กน้อยสะกดความเจ็บใจไว้ข้างใน ก่อนจะหันหน้าช้าๆ มามองผู้เป็นเจ้านาย จากนั้นก็ก้มหน้านิ่ง โดยไม่ลืมเอ่ยถามณัฐณดาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
‘คุณหนูน้ำขิงมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ’
‘มีสิ!’
คุณหนูณัฐณดาตอบเสียงห้วนๆ ก่อนจะชี้นิ้วสั่งต่อ ‘ไปตามไอ้แก้วเสร็จแล้วก็กลับมาฉันที่นี่ด้วย ฉันจะให้แกยกเฟรมวาดรูปมาให้ฉันที่นี่’
‘ครับคุณหนูน้ำขิง แล้วผมจะรีบกลับมาครับ’
‘ไปได้แล้วไอ้ขี้ข้า’
ไม่ต้องรอให้คุณหนูปากจัดไล่เป็นครั้งที่สอง อัคคีกัดฟันแน่นเดินออกจากห้องโถงใหญ่ โดยมีสายตาของเจ้าสัวคมณ์และคุณหนูณัฐณดามองอย่างเหยียดหยามตบท้ายด้วยการหัวเราะเยาะเสียงดัง
‘เวลาได้แกล้งไอ้ไฟ น้ำขิงมีความสุขมากที่สุดเลยค่ะคุณพ่อขา...’
ณัฐณดาเงยหน้าบอกบิดาเสียงหวาน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังด้วยความขบขำ คิดว่าที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ลูกคนรวยควรกระทำกับคนจนๆ
ทางด้านของอัคคีพอเดินพ้นห้องโถงใหญ่ พ้นรัศมีของคนที่เป็นนายแล้ว ก็กำมือแน่นแล้วชกไปยังผนังทางเดินเต็มแรงด้วยความเจ็บใจ เมื่อตนเองไม่สามารถทำอะไรคนเหล่านี้ได้
‘สักวันอัคคี สักวันเราจะหลุดพ้นจากบ้านหลังนี้ สักวันเราจะไทแก่ตัวเอง เราจะต้องทนให้ถึงวันนั้น วันที่ไม่มีใครกล้าเรียกเราว่าไอ้ลูกขี้ข้าอีก’
ดวงตาของเด็กน้อยในวัยสิบห้าปีแดงก่ำแข็งกร้าว ขณะจ้องมองไปยังห้องโถงใหญ่ ซึ่งยังคงมีเสียงหัวเราะร่วนของสองพ่อลูกดังเล็ดลอดมาให้ได้ยินตลอดเวลา
‘ฮึ! คุณหนูน้ำขิง! ทำผยองไม่ต่างจากนางฟ้า สักวันนางฟ้าคนนี้จะถูกไอ้ไฟเด็ดปีกเด็ดหางให้กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์”
อัคคีทำเสียงเยาะขึ้นจมูก ตอนนี้เขามีความกล้าแค่เพียงเท่านี้ กล้าเค้นเสียงเยาะหลับหลังเจ้าสัวคมณ์และลูกสาว แต่สักวันมันจะต้องมีวันของเขา ที่จะได้แก้แค้นคนพวกนี้คืนบ้าง