บทที่ 1
ไอ้ลูกขี้คุก!
ไอ้ลูกคนใช้!
ไอ้ขี้ข้า!
ร่างสูงใหญ่ล่ำสันของชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเข้ามาตลอดเวลาสิบห้าปีเต็ม ดิ้นกระสับกระส่ายไปมาบนเตียงใหญ่ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มหน้าผากและตามใบหน้าของผู้เป็นเจ้า ร่างสูงใหญ่ยังคงทุรุนทุรายกับความฝัน ยังทรมานกับคำเยอะหยันที่ซึมอยู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย
มึงสมควรติดคุกพร้อมกับพ่อของมึง
“ไม่! พ่อผมไม่ผิด!”
‘อัคคี ภาณิน’ หรือ ‘ไฟ’ แผดเสียงตะโกนลั่นห้อง ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งบนเตียงใหญ่ ร่างล่ำสันเปียกซกไปด้วยเม็ดเหงื่อ หัวใจเต้นรัวเร็วอันเกิดจากการถูกตามหลอกหลอนด้วยอดีตอันแสนเลวร้าย ซึ่งตามมาบันทอนจิตใจของเขาในทุกค่ำคืน
“นรก! จะตามมาหลอกหลอนกันไปถึงไหนวะ”
อัคคีสบถลั่นห้อง ยกมือใหญ่ลูบใบหน้าตัวเองด้วยกริยาอ่อนล้า ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีสนิมเต็มไปด้วยความเจ็บปวดกับอดีตที่ถูกหยัดเยียดโดยกลุ่มคนบางคนให้ครอบครัวของเขาเป็นคนผิดมหันต์
“ตีสาม” อัคคีพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเหลือบสายตาไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงนอน
“ให้มันได้ยังงี้สิ ฝันร้ายทุกคืน แล้วก็นอนต่อไม่หลับทุกคืน”
ร่างสูงใหญ่หล่อเหลาก้าวลงจากเตียงนอน เมื่อไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ซึ่งมันเช่นนี้มานานแล้ว หลังจากตื่นจากฝันร้าย เขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้อีกต่อไป และเพื่อนที่ดีที่สุด ที่จะอยู่เคียงข้างเขาหลังจากตื่นจากฝันร้ายคือบรั่นดีรสนุ่มคอ
อัคคีรินบรั่นดีมาครึ่งแก้ว พร้อมกับถือขวดบรั่นดีติดมือ ขณะเดินออกไปนั่งจิบบรั่นดีด้านนอกระเบียงห้องนอน ดวงตาสีสนิมจ้องมองไปในความมืดมิดของท้องฟ้าในยามราตรีกาล ที่กำลังตั้งเค้าเมฆฝน บอกให้รู้ว่ากำลังจะมีพายุฝนเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
เมฆฝนที่กำลังก่อตัวในค่ำคืนนี้ ทำให้อัคคีคิดถึงอดีตอันเลวร้าย อดีตอันแสนโสมมที่เขาและครอบครัว ถูกคนชั่วยัดเยียดความผิดให้ ซึ่งเหตุการณ์มันเกิดขึ้นในคืนฝนพร่ำเช่นวันนี้ จะต่างกันก็เพียงวัน เดือน ปี เท่านั้น เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น มันเกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว แต่มันกลับฝั่งอยู่ในใจของเขาไม่มีลืม!
ที่คฤหาสน์ของเจ้าสัวคมณ์...
ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์พาร่างอ้วนท้วนลงมาตามบันไดบ้าน มาหยุดยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่โอ่อ่า พร้อมกับตะโกนเรียกคนขับรถเสียงดังลั่น
‘ไอ้แก้ว มึงอยู่ไหน เอารถออกเดี๋ยวนี้’
การตะโกนเรียกในครั้งแรกยังปราศจากเสียงตอบรับจากคนขับรถ เจ้าสัวคมณ์จึงตะโกนเรียกซ้ำสองด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิดกว่าเดิม
‘ไอ้แก้ว ไอ้ขี้ข้า หูหนวกหรือยังไงถึงไม่ได้ยินเสียงกูเรียก’
‘มันคงหูหนวกหรือไม่ก็ฟังภาษาคนไม่เข้าใจนั่นแหละค่ะคุณพ่อขา มันถึงไม่ออกมาหาคุณพ่อสักที’
น้ำเสียงหวานๆ ที่ตอบเจ้าสัวคมณ์ พร้อมกับพูดดูถูกดูแคลนคนรับใช้ไปพร้อมๆ กันนั้น เป็นน้ำเสียงของคุณหนูแห่งตระกูลจักรภัทร ที่เดินเข้ามาภายในห้องโถงพร้อมกับเดินมากอดผู้เป็นบิดาไว้แน่น
‘คุณพ่อขา...เย็นแล้วคุณพ่อจะออกไปไหนอีกคะ’
‘คุณหนูน้ำขิง’ หรือ ‘ณัฐณดา’ แก้วตาดวงใจของเจ้าสัวคมณ์เงยใบหน้าเล็กส่อเค้าว่าโตขึ้นจะงดงามไม่น้อย มองผู้เป็นบิดาขณะเอ่ยถามเสียงหวาน
เจ้าสัวคมณ์ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นพรมหนานุ่ม เพื่อกอดลูกสาวได้สะดวกมากขึ้น เขาหอมแก้มแดงปลั่งของนางฟ้าตัวน้อยๆ ทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยโกหกลูกสาวว่า
‘พ่อมีธุระต้องออกไปทำนิดหน่อยจ้ะ’
‘แต่นี่มันเย็นมากแล้วนะคะคุณพ่อ แล้วฝนก็กำลังจะตกด้วย’
ณัฐณดาตอบผู้เป็นบิดา พร้อมกับชี้นิ้วไปนอกบ้านให้บิดาเห็นแสงฟ้าแลบ ตามมาด้วยเสียงครืนครางของฟ้าร้องที่ดังก้องอยู่ทั่วท้องฟ้า
‘พ่อไปไม่นานหรอกลูกรัก แค่สองสามชั่วโมงพ่อก็กลับบ้านแล้ว’
ใช่! เขาใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น สำหรับการไประบายความใคร่กับบรรดาเมียน้อย เมียเก็บที่เขาซุกซ่อนไว้ตามคอนโดหรูที่เขาซื้อให้พวกเธออยู่
หนูน้อยณัฐณดาตีสีหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร เมื่อบิดาจะออกไปข้างนอกทั้งๆ กำลังจะมีพายุลูกใหญ่
‘คุณพ่อไปทำธุระพรุ่งนี้ไม่ได้หรือคะ วันนี้คุณแม่ไม่อยู่บ้าน น้ำขิงไม่มีเพื่อนเล่นนะคะ’
‘ทำไมจะไม่มีล่ะลูก’
เจ้าสัวคมณ์ตอบลูกสาว พลางพยักพเยิดให้ลูกสาวหันไปมองลูกคนใช้ที่กำลังเดินเข้ามาในห้องโถงพอดี
‘นั่นยังไงล่ะ ของเล่นของน้ำขิง อยากโขกหัวสับ อยากแกล้งมันยังไง น้ำขิงก็ทำตามใจชอบได้เลย’
ณัฐณดาหันไปมองตามบิดาชี้นิ้วบอก พอเห็นลูกคนใช้ ซึ่งเป็นที่รองมือรองเท้าของเธอในทุกวัน ก็ยิ้มเยาะตรงมุมปาก มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะแกล้งถามบิดาด้วยน้ำเสียงฟังดูน่าสงสาร
‘คุณพ่อขา...แล้วถ้าไอ้ไฟมันไม่ยอมทำตามที่น้ำขิงต้องการล่ะคะ จะให้น้ำขิงทำยังไงคะ’
‘ถ้ามันไม่ทำตามคำสั่ง ให้น้ำขิงมาบอกพ่อ...พ่อจะจัดการมันเอง’
‘แล้วถ้าน้ำขิงเล่นกับมันแรงๆ แล้วมันรังแกน้ำขิงคืน น้ำขิงจะทำยังไงดีคะคุณพ่อขา...’
‘ถ้าไอ้ไฟมันแตะต้องตัวน้ำขิงแม้แต่ปลายเล็บ พ่อจะเอาเลือดหัวมันออกเอง’
‘ฮึ! ไม่ต้องถึงมือคุณพ่อหรอกคะ ถ้าไอ้ขี้ข้าคนนี้มันทำร้ายน้ำขิง...น้ำขิงจะเอาเลือดหัวมันออกเองคะ’
ณัฐณดาเค้นเสียงตอบอยู่ในใจ เพราะถูกบิดาให้ท้ายในทุกเรื่อง จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง และขาดการอบรมที่ดี หนูน้อยจ้องเหยียบย่ำคนที่ด้อยกว่า ดูถูกดูแคลนยากคนจนที่มาอาศัยใบบุญของบิดาเธอ เพื่อให้มีที่ซุกหัวนอนไปวันๆ
‘แค่เอาเลือดหัวออกคงไม่พอหรอกคะคุณพ่อ ต้องไล่พวกมันออกไปจากบ้านเราด้วยค่ะ น้ำขิงเหม็นสาบกลิ่นคนจน เหม็นสาบกลิ่นพวกไอ้ขี้ข้าและลูกของพวกมัน!’
เจ้าสัวคมณ์มองไปยังเด็กน้อยที่กำลังทำความสะอาดเครื่องเรือนอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ แล้วหันมาตอบลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่างเอาใจ
‘ได้จ้ะลูกสาวของพ่อ ถ้าไอ้ไฟมันทำให้น้ำขิงไม่พอใจ พ่อจะไล่มันออกทั้งครอบครัว’
‘ดีค่ะคุณพ่อ ไล่พวกมันออกวันนี้ พรุ่งนี้เลยนะคะ’
‘ไล่ออกตอนนี้ยังไม่ได้หรอกลูก’
เจ้าสัวคมณ์เอ่ยปฏิเสธความต้องการของลูกสาว
และคำตอบของผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้ลูกสาวที่ถูกตามใจแต่เด็กจนเหลิง ต้องยกมือเท้าเอว กระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ
‘ทำไมถึงไล่ไอ้ขี้ข้าพวกนี้ออกไม่ได้คะคุณพ่อ ได้ยินไหมคะว่าน้ำขิงเกลียดพวกมัน เกลียดยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือเกลียดยิ่งกว่าสัตว์เลื้อยคลาน’
เมื่อลูกสาวที่เป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจเริ่มแผลงฤทธิ์เข้าให้ เจ้าสัวคมณ์ก็รีบโอบกอดร่างเล็กไว้ แล้วเอ่ยตอบให้ลูกสาวรู้ว่าทำไมถึงยังไล่พวกขี้ข้าเหล่านี้ออกจากบ้านในตอนนี้ยังไม่ได้
‘น้ำขิงลูกพ่อ ฟังพ่อนะลูก ถ้าเราไล่พวกขี้ข้าพวกนี้ออกจากบ้านตอนนี้ เราก็ไม่มีคนใช้คอยรองมือรองเท้าพวกเรา น้ำขิงก็ไม่มีไอ้ไฟหน้าโง่ ให้น้ำขิงแกล้งเล่น พ่อว่าเก็บพวกมันไว้ก่อนเถอะลูก ตอนนี้พวกมันยังมีประโยชน์กับพวกเราอยู่ เอาไว้พ่อหาคนใช้ใหม่ได้เมื่อไร พ่อสัญญาว่าจะไล่พวกมันออกทันที’
ทุกถ้อยคำที่พ่อลูกสนทนากันอย่างดูถูกเหยียบหยาม มองว่าคนจนไม่ใช่มนุษย์เหมือนพวกเขา มองว่าคนใช้เป็นคนชนชั้นต่ำกว่าพวกเขา ทำให้อัคคี เด็กน้อยในวัยสิบห้าปี ซึ่งเลือกเกิดเป็นลูกคนรวยล้นฟ้าเหมือนคุณหนูณัฐณดาไม่ได้ ต้องกัดฟันแน่น กำมือเข้าหากันด้วยความเจ็บใจ เจ็บแค้นที่ถูกคนรวยพวกนี้โขกหัวสับในตลอดเวลา
และไม่ใช่เขาเท่านั้นที่ถูกเจ้าสัวคมณ์กับคุณหนูณัฐณดาดูถูกเหยียบหยามและทำร้ายในทุกวัน ทั้งพ่อและแม่ของเขา ก็ต้องตกเป็นที่ระบายความโกรธของเจ้าสัวคมณ์ด้วย
‘ไอ้แก้วมันหายหัวไปไหน ป่านนี้แล้วยังไม่ออกมาอีก’
เจ้าสัวคมณ์บ่นเสียงดัง เมื่อยังไม่เห็นเงาของคนขับรถสักที และความโมโหก็มาลงที่ลูกของคนขับรถ