บทที่ 7
มธุรินก้าวเข้ามาภายในอาณาบริเวณของคฤหาสน์ตระกูลเดริโก้ร์ ด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงหนัก หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองคฤหาสน์หลังโตหรูหรา ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ในใจนั้นอดหวาดกลัวไม่ได้ เมื่อห้วงความคิดหนึ่งได้สะท้อนก้องเข้ามาในหัวสมองว่านับต่อแต่นี้ไป สถานที่แห่งนี้คือสถานกักกันชีวิตของเธอไว้กับราล์ฟ เดริโก้ร์ บุณยกร ทั้งชีวิต ซึ่งเธอไม่อาจคาดเดาว่าชีวิตคู่ของเธอกับราล์ฟ หรือที่เธอมักจะเรียกอีกฝ่ายว่า นายยักษ์ จะเป็นไปอย่างตลอดรอดฝั่ง หรือจะล้มอย่างไม่เป็นท่าทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ออกจากฝั่ง
ว่าที่ลูกสะใภ้ตระกูลเดริโก้ร์ ไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ เข้าไปในคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่า พลันนั้นก็มีเสียงหวานๆ ของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ ได้ตะโกนทักทายพร้อมกับเดินเป็นวิ่งเข้ามาสวมกอดเธอไว้แนบแน่น
“หนูต้นหยก มาถึงแล้วหรือลูก”
มาดามแคทลีนเดินเร็วๆ เข้ามาสวมกอดร่างอรชรอ้อนแอ้นของว่าที่สะใภ้คนโปรด พร้อมกับกดจมูกเล็กลงไปเบาๆ บนพวงแก้มแดงปลั่งของมธุริน ตอนที่ได้เอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง
มธุรินหันไปยิ้มบางๆ ให้บิดามารดา ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ขณะที่ยังคงถูกมาดามแคทลีนสวมกอดไว้แน่น หญิงสาวปล่อยให้เจ้าของคฤหาสน์หลังงามได้สวมกอดอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะดันตัวออกเล็กน้อย แล้วยกมือไหว้ทำความเคารพว่าที่แม่สามีผู้สง่างามด้วยกริยาอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
ด้วยมาดามแคทลีนมีอายุมากกว่ามารดาของเธอ มธุรินจึงเรียกเพื่อนรักของบิดามารดาว่าคุณป้า ซึ่งสร้างความขัดใจให้กับมาดามแคทลีนอยู่ไม่น้อย
เจ้าของคฤหาสน์หลังโต ทำเสียงในลำคอราวกับไม่พอใจ พร้อมกับแสร้งขึงตามองค้อนว่าที่ลูกสะใภ้ จากนั้นก็เอ่ยแก้ไขสรรพนามให้มธุรินได้เรียกตนเองเสียใหม่
“มาเรียกปงเรียกป้าอะไรกันเล่าหนูต้นหยก หนูต้องเรียกว่าแม่ หรือไม่ก็เรียกว่ามาดามเหมือนที่พี่ราล์ฟเรียกก็ได้ลูก”
“ค่ะมาดาม”
มธุรินเรียกตามอย่างว่านอนสอนง่าย เรียกรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจได้จากมาดามแคทลีนเป็นอย่างมาก
เจ้าของคฤหาสน์พักการสนทนากับมธุรินชั่วครู่ เพียงเพื่อเดินไปสวมกอดเพื่อนรักทั้งสองของตนเอง ซึ่งกำลังพากันยืนยิ้มกริ่มกับแผนการที่ดูท่าว่ากำลังจะสำเร็จไปด้วยดี
“รดา รวิช ฉันคิดถึงพวกเธอมากเลย”
บิดามารดาของมธุรินได้สวมกอดมาดามแคทลีน ผู้ที่เป็นเพื่อนทั้งในยามทุกข์และยามสุขไว้ด้วยความคิดถึง ขณะเดียวกันก็แอบกระซิบทวงถามถึงสิ่งที่พวกตนหวาดหวั่นอยู่ตลอดเวลา ขณะนั่งเครื่องบินมายังกรุงโรม
“มาดาม เรื่องของคุณราล์ฟว่าอย่างไรคะ สำเร็จหรือเปล่า”
คุณมนรดาซึ่งมักจะเรียกเพื่อนรักเช่นนี้เสมอ ได้แอบกระซิบถามขณะสวมกอดเพื่อนรักไว้แน่น
“สำเร็จสิรดา มือชั้นนี้แล้วไม่มีพลาดแน่”
มาดามแคทลีนแอบทำท่าโอเคให้เพื่อนรักทั้งสองได้เห็น ขณะกระซิบตอบพลางหยักคิ้วให้อย่างรู้กันดี
“เข้าไปคุยกันข้างในบ้านนะ ถ้าหากหนูต้นหยกไม่เหนื่อยเกินไป เดี๋ยวจะได้ลองชุดแต่งงานด้วย”
มาดามแคทลีนเอ่ยบอก พร้อมกับผายมือเชิญให้ทุกคนเข้าไปภายในคฤหาสน์หลังงาม จากนั้นก็พาเข้าไปนั่งพักผ่อนยังห้องรับแขกซึ่งตกแต่งหรูหราตามสไตล์อิตาลีแท้
“หนูต้นหยก เดินทางมาเหนื่อยไหมลูก”
เจ้าของคฤหาสน์จัดแจงให้มธุรินนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน เพื่อที่ตนเองจะได้เพ่งพิศพิจารณาว่าที่ลูกสะใภ้ได้อย่างชัดเจนหน่อย
มธุรินอยากตอบมาดามแคทลีนตามความเป็นจริงว่าเธอเหนื่อยและเพลียมาก แต่เมื่อไม่อาจพูดตามความเป็นจริงเช่นนั้นได้ หญิงสาวก็ได้แต่แย้มยิ้มหวาน พร้อมกับเอ่ยปดออกมา
“ไม่เหนื่อยเท่าไรหรอกคะมาดาม ต้นหยกกับคุณพ่อคุณแม่ นั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ก็เลยไม่เหนื่อยเท่าไรคะ”
“ต้องขอบคุณมาดามนั่นแหละ ที่ส่งตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสไปให้พวกเรา ทำให้พวกเรานั่งเครื่องบินมาอย่างสบายๆ ไม่งั้นแล้วแม่คงได้ปวดหลัง ปวดแข้งปวดขาไปหมดแน่”
คุณมนรดารีบเอ่ยให้เครดิตมาดามผู้สง่างาม ซึ่งเรื่องการจัดหาตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสเดินทางมายังกรุงโรมต้องยกความดีให้กับมาดามแคทลีนจริงๆ เพราะมาดามเป็นคนจัดการหาตั๋วเครื่องบินชั้นหรูหราให้กับครอบครัวของพวกเธอ ได้เดินทางมากรุงโรมอย่างสบายๆ
มาดามผู้สง่างามและทรงอำนาจแห่งตระกูลเดริโก้ร์ได้หัวเราะร่วน ก่อนจะโบกมือปฏิเสธให้ว่อน แล้วเอ่ยตอบกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“อุ้ย! ไม่เป็นไรหรอกรดา แค่นี้เรื่องเล็ก ฉันไม่อยากให้เธอกับคุณรวิชต้องนั่งหลังขดหลังแข็งในชั้นธรรมดา อีกอย่างไม่อยากให้หนูต้นหยกต้องเหนื่อยด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่สดชื่น แต่งชุดเจ้าสาวไม่สวย”
คำพูดในตอนท้ายของมาดามแคทลีนสะกิดใจของมธุรินเป็นอย่างมาก ใบหน้างามถอดสีเผือดเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานของเธอแล้ว นึกๆ ไปก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ เธอแต่งงานอย่างกะทันหัน ยังไม่เคยเห็นแม้แต่การ์ดแต่งงาน ชุดแต่งงานของตนเอง และที่สำคัญยังไม่เคยเห็นแม้แต่ใบหน้าของคนที่จะมาเป็นสามีในอนาคต
มธุรินหันไปมองหน้าบุพการีทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้ามาดามแคทลีน แล้วตัดสินใจหลุดปากเอ่ยขอร้องในสิ่งที่ตนเองได้ขบคิดมาหลายชั่วโมง นับตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินจากประเทศไทยมายังกรุงโรม ดินแดนแห่งวัฒนธรรมอันน่าหลงใหลมาท่องเที่ยวเป็นที่สุด
“เอ่อ...มาดามคะ เราเลื่อนงานแต่งงานไปเป็นเดือนหน้าดีไหมคะ ต้นหยกจะได้เตรียมตัวเรื่องงานแต่งงาน และก็เข้าคอร์ดเจ้าสาวเตรียมความพร้อมทุกอย่างด้วย”
หญิงสาวพยายามอ้างเหตุผลที่ฟังดูดี สำหรับว่าที่เจ้าสาวทั่วๆ ไปที่เขาทำกัน เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังจะเป็นผู้โชคดี เดินเข้าสู้ประตูวิวาห์กับชายหนุ่มคนรัก
“ไม่ได้ลูก ถ้าเลื่อนไปอีกหนึ่งเดือน บ้านของเราต้องถูกเจ้าหนี้ยึดแน่นอนเลยลูก”
“ใช่ๆ จริงด้วยลูก พวกเรารอไม่ได้แล้ว ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน เจ้าหนี้ก็โทรมาเร่งรัดกับพ่อ ว่าจะจ่ายหนี้สินทั้งหมดได้เมื่อไร”
คุณมนรดากับคุณรวิชต่างก็ผลัดกันเอ่ยคัดค้านความคิดของลูกสาว ทั้งสองพยายามตีสีหน้าให้ดูโศกเศร้าเป็นที่สุด ขณะได้เอ่ยถึงหนี้สินล้นพ้นตัวที่ได้อุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อให้ลูกสาวนั้นได้ล้มเลิกความคิดเรื่องการเลื่อนการแต่งงานออกไปอีกหนึ่งเดือน
“หนูต้นหยก อย่าเลื่อนงานแต่งงานเลยลูก แต่งพรุ่งนี้นั่นแหละดีแล้ว เพราะไม่ว่าจะแต่งวันนี้พรุ่งนี้หรืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็มีค่าเท่ากัน ส่วนเรื่องหนี้สิน หนูไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะลูก ทันทีที่หนูจรดปากกาเซ็นทะเบียนสมรสกับราล์ฟ มาดามจะให้ทนายจัดการเรื่องหนี้สินให้ทันที และจะปรับสมุดธนาคารของครอบครัวหนูที่เคยเป็นตัวสีแดงติดลบมานานให้เป็นสีน้ำเงินทั้งหมด ให้คุณพ่อคุณแม่หนูได้ตั้งตัวเริ่มต้นธุรกิจใหม่อีกครั้ง”
มาดามแคทลีนเป็นอีกคน ที่ได้หว่านล้อมให้มธุรินยอมเข้าพิธีสมรสกับลูกชายนางในวันพรุ่งนี้ และในขณะชักแม่น้ำทั้งห้าให้มธุรินได้เออออห่อหมกด้วย นางก็นึกในใจว่ามธุรินกับราล์ฟนั้นช่างเหมือนกันเสียนี่กระไร นอกจากจะหลอกยากหลอกเย็นแล้ว ยังดื้อรั้นไม่แพ้กัน แต่กระนั้นทั้งสองคนก็มีจุดอ่อนเหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือความกตัญญูที่ต่างก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บุพการีได้มีความสุข และจุดอ่อนของทั้งสองคนนี่เอง ที่ทำให้พวกนางใช้เป็นเครื่องมือทำให้ทั้งสองได้ตกล่องปล่องชิ้นกัน