บทที่ 4
ณ กรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี ดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ดินแดนแห่งวัฒนธรรม ซึ่งมีอดีตอันยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรในยุคจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ
เมื่อราว 2,000 ปีที่ผ่านมา ดินแดนที่ตั้งของนครรัฐวาติกันเคยรุ่งเรืองเช่นใด ในยุคปัจจุบันเมืองหลวงของสาธารณรัฐอิตาลี ก็ยังคงเรืองอำนาจไม่มีเปลี่ยนแปลง
ผู้คนจากทั่วสารทิศ ยังคงเดินทางมาท่องเที่ยวในดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังและมนต์เสน่ห์ของแผ่นดินแห่งนี้โดยไม่ขาดสาย ส่งผลให้ธุรกิจเกือบทุกประเภทในแผ่นดินแห่งนี้ต่างก็เจริญรุ่งเรือง ทำเงินทำกำไรได้อย่างมหาศาล ซึ่งนั่นก็รวมถึงธุรกิจโรงแรมที่พักระดับหกดาวของตระกูลเดริโก้ร์ด้วย
ตระกูลเดริโก้ร์เป็นตระกูลเศรษฐีเก่า ซึ่งร่ำรวยมาตั้งแต่สมัยของคุณทวด ซึ่งเป็นผู้ก่อร่างสร้างตัว สร้างอำนาจบารมีไว้ให้กับลูกหลาน จนกระทั่งตกมาถึงรุ่นลูก ที่ยังคงรักษาเพิ่มพูนความร่ำรวยความมั่งคั่ง ขยายธุรกิจในเครือของ
เดริโก้ร์กรุ๊ปไปได้ทั่วโลก
ราล์ฟ เดริโก้ร์ บุณยกร เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของตระกูล นอกจากความเก่งกาจในเรื่องการบริหารงาน จนสามารถขยายสาขาธุรกิจของตระกูลได้ทั่วโลกแล้ว เจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ปอย่างราล์ฟ ยังหล่อเหลาคมเข้ม มีเรือนกายกำยำล่ำสัน เป็นที่น่ากอดน่าหลงใหลของสาวๆ ทั่วทั้งประเทศ ซ้ำร้ายยังมีดวงตาสีทองเพลิงสุดเซ็กซี่ชวนให้สาวๆ เคลิบเคลิ้มตัวอ่อนระทวยทุกครั้งที่ได้สบตากับดวงตาคู่นี้
ราล์ฟ ทำงานโดยไม่มีคำว่าหยุดพัก ไม่ว่าจะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือแม้แต่วันหยุดนักขัตฤกษ์ เจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ปก็ไม่คิดที่จะหยุดพัก ให้กายและหัวสมองอันชาญฉลาดได้หยุดพักเหมือนคนอื่นๆ เฉกเช่นในวันนี้เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดอันแสนสบายของผู้คนทั่วทั้งประเทศ ซึ่งมักจะขดตัวอยู่บนที่นอนกับผ้าห่มอุ่นๆ แต่ราล์ฟกลับตื่นแต่เช้าตรู่ ออกมานั่งทำงานในห้องสมุดขนาดใหญ่ภายในคฤหาสน์เดริโก้ร์ ตรงหน้าก็มีแก้วกาแฟที่ดื่มพร่องไปนิดเดียว กับโน้ตบุ๊คและแฟ้มเอกสารต่างๆ อีกกองใหญ่ที่ชายหนุ่มได้หอบกลับมาทำที่คฤหาสน์
แต่ทว่าความขยันหมั่นเพียรเกินมนุษย์ของราล์ฟ หาได้ทำให้ผู้เป็นมารดาหลงใหลได้ปลื้มด้วยไม่! ทันทีที่เข้ามาในห้องสมุดขนาดใหญ่ พร้อมกับมองเห็นบุตรชายของตนนั่งนิ่วหน้าอย่างเคร่งเครียดอยู่หลังโต๊ะทำงาน มาดามแคทลีนก็ตีสีหน้าราวกับเหนื่อยแทนบุตรชาย ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนานุ่มหน้าโต๊ะทำงาน
ราล์ฟละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อรู้สึกว่ามีคนมานั่งเงียบอยู่ตรงหน้าตนเอง พอได้เห็นใบหน้างามสง่าของมารดาที่รัก ก็รีบแย้มยิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยทักทายทันที
“อรุณสวัสดิ์ครับมาดาม”
“แหม! มาดามเพิ่งได้ยินคำทักทายคำนี้ในรอบสัปดาห์นะเนี่ย”
มาดามแคทลีนต่อว่าบุตรชายด้วยน้ำเสียงติดขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะในรอบสัปดาห์ นางเพิ่งมีโอกาสได้พบหน้าลูกชายในตอนเช้าๆ เช่นนี้
ราล์ฟหัวเราะเบาๆ กับคำสัพยอกของมารดา ที่เขามักจะเรียกว่า มาดาม เสมอ ซึ่งเป็นคำเรียกที่เขาเรียกติดปากมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“โธ่...มาดามครับ ก็ผมต้องออกไปที่โรงแรมตั้งแต่เช้านี่ครับ ผมก็เลยไม่มีเวลาอยู่ทักทายมาดามในตอนเช้าๆ แต่ถึงยังไงผมก็รักมาดามนะครับ”
ขณะร้องประท้วงแถมอ้างเหตุผลซึ่งล้วนแต่เป็นความจริง มาคัดค้านคำพูดของมารดา ราล์ฟก็ไม่ลืมลุกจากที่นั่งมาหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ พร้อมกับโอบกอดร่างเล็กของท่านไว้ด้วยความเคารพรัก
มาดามแคทลีนแย้มยิ้มออกมาได้ เมื่อได้รับการแสดงความรักจากบุตรชายผู้หล่อเหลา นางยกมือที่เริ่มเหี่ยวย่นตามอายุ ซึ่งล่วงเข้าสู่วัย 50 ปีตอนต้นแล้ว ไปโอบกอดรอบร่างกำยำล่ำสันของบุตรชาย จากนั้นก็เริ่มกระบวนการต่อว่าต่อขานเจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ปต่อ
“ก็เพราะราล์ฟออกไปทำงานแต่เช้าตรู่ และก็กลับเข้าบ้านมืดๆ ค่ำๆ นี่แหละ ที่ทำให้แม่ไม่ได้เจอใบหน้าหล่อๆ ของราล์ฟสักที ถ้าหากวันนี้แม่ยังไม่ได้พบหน้าราล์ฟอีก แม่คงลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าลูกชายของแม่มีหน้าตาอย่างไร”
ราล์ฟหัวเราะร่วนกับคำต่อว่าของมารดา เขาโอบกอดร่างเล็กของมารดาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะประคองท่านให้ลุกไปนั่งบนโซฟาหนังแท้ยี่ห้อดัง พร้อมกันนั้นก็เอ่ยขอโทษขอโพยมารดาเป็นการใหญ่
“ผมขอโทษครับมาดาม ช่วงนี้เป็นเทศกาลฮันนีมูน โรงแรมของเราทั้งที่นี่และก็ที่เวนิสถูกจองเต็มทุกห้อง แถมยังมีคิวจองล่วงหน้าถึงสองเดือนเต็ม ผมเลยต้องเที่ยววิ่งรอกระหว่างโรมกับเวนิส สั่งกำชับให้พนักงานทุกคนดูแลลูกค้าของโรงแรมให้ดีที่สุด”
มาดามแคทลีนคลี่ยิ้มหวาน ขณะยกมือลูบใบหน้าอันหล่อเหลาคมเข้ม ดวงตาสีดำมองลูกชายคนเดียวด้วยความภาคภูมิใจ ที่ลูกคนนี้เป็นอภิชาตบุตร สร้างชื่อเสียง ความมั่งคั่ง ขยายธุรกิจของวงศ์ตระกูลให้แผ่ใหญ่ไพศาลนับตั้งแต่ได้ก้าวขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจในเครือเดริโก้ร์กรุ๊ป
“ราล์ฟ แม่รู้ว่าทุกนาทีของลูกมีแต่คำว่างาน และทุกลมหายใจของลูกมีแต่คำว่าครอบครัว แม่อยากบอกว่าแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก แม่เชื่อว่าคุณพ่อและคุณปู่คุณย่า ซึ่งกำลังมองดูลูกจากทรวงสวรรค์ก็ต้องภูมิใจในตัวลูกเช่นเดียวกัน แต่แม่ขอร้องลูกเรื่องหนึ่ง แม่อยากให้ราล์ฟได้พักผ่อน หาความสุขใส่ตัวบ้าง อย่ามุมานะกับงานจนมากเกินไปนะลูก”
ราล์ฟยิ้มกว้างรับคำชมแกมเอ่ยเตือนของมารดา ก่อนจะบอกถึงเหตุผลที่ตนเองต้องทำงานหนักเช่นดังทุกวันนี้
“ทุกวันนี้ราล์ฟก็มีความสุขแล้วนะครับมาดาม ได้เห็นลูกน้องที่อยู่ภายใต้การปกครองของเราอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า ได้เห็นมาดามยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ได้เห็นธุรกิจของครอบครัวขยายขจรไปไกลทั่วโลก ให้สมกับความต้องการของคุณปู่และคุณพ่อที่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ ผมไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาความสุขจากที่ไหนเลย เพราะคงไม่มีใครทำให้ผมมีความสุขได้เท่ากับคนในครอบครัวของผม”
มาดามแคทลีนยิ้มกว้าง รู้สึกอิ่มเอมใจไปกับคำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจของลูกชาย และเมื่อผู้ที่เป็นลูกได้ชี้โพรงเกริ่นนำถึงเรื่องครอบครัว นางก็ไม่รอช้ารีบรุกฆาตพูดถึงประเด็นอันสำคัญยิ่งยวด ที่ทำให้นางต้องเข้ามารบกวนเวลาทำงานอันมีค่าของเจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ป
“ราล์ฟ แม่มีเรื่องจะปรึกษา...เอ่อ...ไม่ดีกว่า แม่ไม่พูดดีกว่า”
มาดามผู้สง่างามหลุดปากเอ่ยพูดไปได้แค่ครึ่งทาง ก็เกิดอาการเปลี่ยนใจ ตีสีหน้าเศร้าๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ แต่ผู้เป็นบุตรชายได้รีบจับมือมารดาไว้ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
ราล์ฟรู้สึกเป็นกังวลไปกับความทุกข์ของมารดา พอบุพการีทำท่าจะลุกหนีกักเก็บความทุกข์ไว้แค่เพียงผู้เดียว เขาก็รีบจับมืออันแสนอบอุ่น ซึ่งอุ้มชูเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กไว้ พร้อมกับเอ่ยถามเพื่อจะแบ่งเบารับความทุกข์นั้นให้ตกมาอยู่ที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
“มาดามจะปรึกษาเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมไม่พูดต่อครับ หน้าของมาดามก็ซีดมากเลย มาดามไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ”
มาดามแคทลีน ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาแทบจะทันทีที่บุตรชายผู้คมเข้มได้เอ่ยถาม นางหลุดเสียงสะอื้นร้องไห้โฮเสียงดัง ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้เป็นลูกยิ่งนัก พอได้ร้องไห้ระบายความทุกข์ผ่านออกมาทางหยาดน้ำตา ซึ่งร่วงเผาะๆ ราวกับสั่งได้แล้ว มาดามผู้สง่างามแถมยังเล่นละครบทโศกเก่งเป็นที่หนึ่ง ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองลูกชาย ซึ่งกำลังตกใจหน้าถอดสีเผือดอย่างเห็นได้ชัดเจน จากนั้นก็เริ่มเล่นละครฉากใหญ่ให้เจ้าพ่อแห่งเดริโก้ร์กรุ๊ปได้สงสารบุคคลที่กำลังตกเป็นหัวข้อในการสนทนา
“แม่สง...สงสารหนูต้นหยกนะลูก”
“ต้นหยก?”
ราล์ฟเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะทวนคำของมารดา ก่อนจะเอ่ยถามอย่างงงๆ เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่ามารดากำลังพูดถึงใครอยู่
“มาดามกำลังหมายถึงใครครับ ต้นหยกไหน ผมไม่รู้จักครับ”
มาดามแคทลีนยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาที่หยดแหมะๆ ลงมาตามพวงแก้มของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบลูกชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเศร้าสร้อย
“ราล์ฟ หนูต้นหยกเป็นลูกสาวของคุณมนรดากับคุณรวิชยังไงล่ะลูก ทำไมถึงลืมหนูต้นหยก เพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ ของตนเองได้ล่ะลูก”
เอ่ยตอบพร้อมกับต่อว่าลูกชายสุดที่รักไปในตัวแล้ว มาดามแห่งคฤหาสน์เดริโก้ร์ ซึ่งยังคงความสวยไม่สร่าง ก็ลุกขึ้นเดินออกมาหยุดยืนตรงระเบียงนอกห้องสมุด ซึ่งสามารถทอดสายตามองเห็นสวนดอกไม้เมืองหนาวนานาพรรณ หลาก
หลายสีสัน ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจไปทั่วอาณาบริเวณ
“ต้นหยก...”
ราล์ฟพึมพำอยู่กับตนเองอีกครู่ใหญ่ หัวสมองอันชาญฉลาด พยายามนึกถึงหญิงสาวที่มารดาได้เอ่ยถึง พลันนั้นภาพของเด็กน้อยตัวอ้วนตุ๊ต๊ะ ที่มักจะเดินตามเขาไม่หยุด เวลาเขากลับประเทศไทยไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย ซึ่งมีรั้วบ้านติดกันกับบ้านของเธอ ก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที