บทที่ 3
มธุรินฝืนยิ้มบางๆ ให้บิดามารดา อนาคตที่บิดาไว้วาดวางไว้ หลังจากสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว ทำเอาเธอสะเทือนใจยิ่งนัก หญิงสาวยิ้มให้บุพการีทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องโถงด้วยจิตใจเลื่อนลอย ไม่รู้เลยว่าเท้าเล็กได้พาผู้เป็นเจ้าของ มาทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ลอยด์สีขาวสะอาด กลางสนามหญ้าหน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไรกัน
‘มาดามอยากให้ต้นหยกแต่งงานกับลูกชายของมาดาม หากต้นหยกรับปาก มาดามก็จะจัดการเคลียร์หนี้ทั้งหมดให้พวกเราทันที’
เงื่อนไขการชำระหนี้สินแทน ที่มาดามแคทลีนได้เอ่ยบอกมากับมารดา ยังคงดังกึกก้องอยู่ทั่วร่าง คำพูดของบิดาที่จะผันตัวเองจากการเป็นนักธุรกิจสวมเสื้อสูทนั่งอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา ไปเป็นชาวสวน ชาวไร่ ซึ่งเธอรู้ว่าบิดาย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะท่านอายุมากแล้ว อีกทั้งสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ได้สะท้อนลั่นอยู่ในโสตประสาท ก่อนที่เจ้าตัวจะฟุบหน้าไปบนโต๊ะสีขาวด้วยความกลัดกลุ้มใจ ไม่รู้จะตัดสินชีวิตของตนเองอย่างไรดี
“เอายังไงดีต้นหยก ถ้าไม่แต่งงาน พ่อกับแม่ก็ไม่มีบ้านให้อาศัยอยู่ แต่หากแต่งงาน เธอก็ต้องมอบชีวิตทั้งชีวิตให้ตกอยู่ในอุ้มมือของผู้ชายที่เกลียดเธอที่สุดในโลก”
มธุรินพึมพำอย่างคิดไม่ตก ใบหน้างามอมทุกข์ ดวงตาคู่สวยหมองเศร้า ขณะเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองรอบๆ ตัวบ้านหลังใหญ่โต ซึ่งกินเนื้อที่เกือบ 4 ไร่ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเดินสำรวจรอบๆ บริเวณบ้าน ซึ่งเธอได้อาศัยอยู่ตั้งแต่เกิด
ในขณะที่มธุรินได้เดินทอดน่องรอบบริเวณบ้านด้วยความหมองเศร้า ผู้ที่เป็นบิดามารดากลับยิ้มร่าด้วยความดีใจ ที่แผนการของพวกตนสำเร็จลุล่วงไปเกินครึ่งแล้ว
“คุณพี่คะ คุณพี่คิดว่าลูกจะตอบรับหรือปฏิเสธคะ”
คุณมนรดาเอ่ยถามสามี ขณะเดียวกันก็พยายามชะเง้อมองที่ประตูบ้าน ด้วยเกรงว่าลูกสาวจะเข้ามาได้ยินความจริงเข้า
“ต้นหยกไม่กล้าปฏิเสธหรอกเชื่อพี่สิ ยังไงๆ ลูกก็ต้องตอบรับแน่นอน แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตามทีเถอะ”
ผู้เป็นสามีมั่นใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเขารู้ใจของลูกสาวตนเองดี และก่อนที่บุตรสาวจะเดินออกไปจากห้องโถง เขาก็มั่นใจเกินร้อยว่าได้เอ่ยจี้ถูกจุดของบุตรสาวเป็นยิ่งนัก บุตรสาวของพวกเขาเป็นเด็กกตัญญู รักพ่อแม่มาก ยังไงๆ มธุรินก็ไม่มีทางปล่อยให้บุพการีต้องลำบากอย่างแน่นอน
“คุณพี่คะ ถ้าหากลูกรู้ความจริงว่าเรื่องทั้งหมด ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราได้โกหกไป ลูกจะโกรธพวกเรามากไหมคะ”
ผู้เป็นภรรยาหลุดปากถามด้วยความไม่สบายใจ แม้รู้ว่าสิ่งที่พวกตนได้ทำลงไป โดยมีมาดามแคทลีนร่วมแจมและเป็นหัวเรือใหญ่เสียด้วย เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกตนก็ทำเพื่ออนาคต เพื่อความสุขของลูกๆ ทั้งสิ้น
คุณรวิชถอนหายใจยาว พลางตบเบาๆ บนหลังมือของภรรยา พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจคู่ทุกข์คู่สุข ที่อยู่ด้วยกันมานานนับสิบๆ ปี
“ลูกจะไม่มีทางรู้ความจริงเป็นอันขาด รดาไม่ต้องเป็นกังวลด้วยว่าสิ่งที่เราสองคน และมาดามแคทลีนทำลงไปนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเงื่อนชีวิตที่พวกเรากำลังผูกให้ลูกหลานทั้งสองคนนั้น จะทำให้พวกเขาได้พบแต่ความสุขในชีวิตที่เหลืออยู่”
เมื่อได้รับกำลังใจจากสามี คุณมนรดาก็คลี่ยิ้มออกมาได้ นางเอนกายซบกับอกกว้างของสามี ซึ่งไม่ว่าวันเวลาจะ
ผันผ่านไปเนิ่นนานสักเพียงใด ก็ยังคงมอบความอบอุ่นให้กับนางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“รดาก็เชื่อว่าต้นหยกจะได้พบกับความสุขในชีวิตคู่ ลูกชายของมาดามเป็นคนดี และแข็งแกร่งพอที่จะช่วยดูแลต้นหยกต่อจากพวกเราทั้งสองคน”
“พี่ก็เชื่อว่าเขาจะดูแล มอบความสุข มอบเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับนางฟ้าตัวน้อยๆ ของพวกเราได้”
คุณรวิชเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ พลางอมยิ้มกว้างขณะคิดถึงชายหนุ่มผู้แข็งแกร่ง เป็นเจ้าของธุรกิจมากมายและมีมูลค่ามหาศาลในประเทศอิตาลี
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่และมั่นคงยิ่งแล้ว มธุรินก็ได้เดินกลับเข้ามายังห้องโถงอีกครั้ง พอได้เห็นภาพที่บิดามารดา กำลังถ่ายทอดความรักความอบอุ่นให้แก่กันและกัน ก็รู้สึกอิจฉาบุพการีทั้งสองยิ่งนัก ที่พวกท่านสามารถเลือกคู่ครอง เลือกคู่ชีวิตด้วยความรักที่มีต่อกัน หาใช่ด้วยเหตุผลที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นตัวเธอไม่!
“คุณพ่อคุณแม่คะ” มธุรินเอ่ยเรียกบุพการีทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แสนแผ่วเบา แต่ทว่ามั่นคงยิ่งนัก
“ต้นหยกตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะยอมทำตามเงื่อนไขที่มาดามแคทลีนได้เสนอมา”
มธุรินยิ้มหวานให้บุพการีทั้งสองอีกครั้ง แล้วเดินออกมาจากห้องโถงขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง พอเข้ามาอยู่ในพื้นที่อันเป็นส่วนตัว หญิงสาวก็ทุบมือลงบนที่นอนด้วยความเจ็บใจ ขณะนึกถึงถ้อยคำดูถูกดูแคลนเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งได้เอ่ยดูถูกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ไว้
‘ยายตัวตุ่น ยายหมูอ้วน โตขึ้นอย่าหวังว่าจะได้เป็นเจ้าสาวของนายราล์ฟนะ’
“ฮึ!”
มธุรินทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตาคู่สวยลุกวาวด้วยความอยากเอาชนะ คนที่อยู่ไกลแสนไกลคนละทวีปโลก จากนั้นก็เค้นเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บใจ
“เสียใจด้วยนะนายราล์ฟ ยังไงๆ ชาตินี้นายก็หนียายตัวตุ่นไม่พ้น”