บทที่ 2
คุณรวิชได้เอื้อมมือไปจับบ่าเล็กทั้งสองของลูกสาว ให้ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาด้วยกัน ในใจนั้นรู้สึกผิดอยู่มากที่กุเรื่องหนี้สินจำนวนมหาศาลมาหลอกลูกสาว
“ต้นหยกไม่ต้องขายรถ หรือเครื่องเพชรพวกนี้ก็ได้ลูก เดี๋ยวพ่อกับแม่จะพยายามติดต่อเพื่อนๆ ในวงการดูก่อน เผื่อว่าจะมีเพื่อนคนไหนที่พอจะช่วยเหลือพวกเราได้บ้าง”
มธุรินยิ้มเศร้าๆ ให้บิดา ก่อนจะเอ่ยถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจ ซึ่งแม้แต่ผู้ที่เป็นบิดามารดาก็ไม่อาจปฎิเสธได้
“ใครจะยอมเจ็บตัวมาช่วยพวกเราล่ะคะคุณพ่อ ต้นหยกเชื่อว่าหากพวกเราบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ หยิบยืมเงินจากพวกเขา นอกจากพวกเขาจะส่ายหน้าปฏิเสธแล้ว พวกเขายังปิดประตูหนี ปิดป้ายประกาศห้ามให้พวกเราเข้าพบด้วย”
คุณรวิชและคุณมนรดาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของบุตรสาว ซึ่งถ้าหากครอบครัวของเขาล้มละลาย มีหนี้สินรุมเร้ารอบตัวจริง ดั่งที่ได้โกหกลูกสาวไป เขาเชื่อว่าคงไม่มีเพื่อนคนไหนกล้ายื่นมือมาให้ความช่วยเหลือแน่ แต่กระนั้นก็ยังมียกเว้นอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนรัก เพื่อนแท้ในยามทุกข์ยากของครอบครัวเขามาช้านานแล้ว
คุณมนรดาลอบมองหน้าสามีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งเกริ่นนำ เพื่อพูดถึงมาดามแห่งกรุงโรม ที่เป็นเพื่อนรัก เพื่อนแท้ของครอบครัวนาง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้นางและสามีต้องอุปโลกน์เรื่องหนี้สิน เรื่องการล้มละลายขึ้นมา
“ต้นหยก...แม่ก็เชื่อเช่นเดียวกันกับหนู ว่าคงไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยพวกเราเพื่อให้เจ็บตัวเปล่า แต่ในความมืดมิดนั้น มันก็ย่อมมีแสงสว่างส่องนำทางให้พวกเราได้เดินเสมอไม่ใช่หรือลูก”
“คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ” มธุรินเอ่ยถาม ใบหน้างามหวาน ดวงตาคู่สวยเผยให้เห็นริ้วรอยแห่งความสงสัยได้อย่างชัดเจน
ผู้ที่เป็นมารดาได้ลอบถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ต้นหยกจำมาดามแคทลีนได้ไหมลูก”
ผู้ที่ถูกมารดาเอ่ยถามได้พยักหน้ารับช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยตอบออกมา “จำได้ค่ะคุณแม่ มาดามเป็นเพื่อนรักของคุณพ่อกับคุณแม่ เกือบห้าปีแล้วนะคะที่มาดามไม่ได้มาเยี่ยมพวกเราเลย”
คุณรวิชหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดของลูกสาว ก่อนจะเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดของลูกเสียใหม่
“ผิดแล้วล่ะต้นหยก มาดามแคทลีนมาเยี่ยมพวกเราทุกปี แต่ช่วงที่เธอมาเมืองไทยนั้น ต้นหยกยังเรียนอยู่ที่อังกฤษอยู่เลยลูก”
“ปีที่แล้วมาดามก็มานะลูก แม่จำได้ว่ามาดามมาเจอช่วงที่หนูไปประชุมดูงานในอเมริกาพอดี”
คุณมนรดาเอ่ยเสริมทัพต่อจากสามี จากนั้นก็เริ่มพุ่งเป้าไปยังประเด็นหลัก ที่พวกตนได้สร้างเรื่องโกหกบุตรสาวในครั้งนี้
“พ่อกับแม่ได้โทรไปปรึกษาเรื่องนี้มาดามแคทลีนแล้ว ซึ่งมาดามยินดีและเต็มใจพร้อมที่จะช่วยเหลือครอบครัวของพวกเราอย่างเต็มที่”
รอยยิ้มหวานได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้างามขาวผ่องทันที ที่ได้ยินคำบอกกล่าวของมารดา มือเล็กได้เอื้อมไปจับต้นแขนของมารดาได้แน่น ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“จริงหรือคะคุณแม่ มาดามจะช่วยพวกเราจริงๆ หรือคะ”
คราวนี้เป็นคิวของคุณรวิชที่พยักหน้ารับกับคำถามของบุตรสาว แล้วแกล้งเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่ค่อยเห็นดีด้วยในสิ่งที่มาดามแห่งกรุงโรมได้เอ่ยขอมา
“มาดามเต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเรา และจะให้เงินลงทุนมาอีกก้อนใหญ่ด้วย”
“ทำไมมาดามแคทลีนถึงใจดีแบบนี้ล่ะคะ”
มธุรินร้องถามเสียงหลงด้วยความดีใจ ใบหน้างามเริ่มมีสีเลือดดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างโล่ง
อก พลางนึกถึงมาดามแคทลีนผู้สง่างาม ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เธอมีโอกาสได้พบมาดามอยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเธอแทบไม่เชื่อสายตาเลยว่า หญิงวัยค่อนคนที่มีอายุปาไป 50 ปีตอนต้นแล้ว จะสง่างามราวกับนางพญา นอกจากความงดงามที่มีอยู่คู่กายแล้ว มาดามแคทลีนยังใจดีเสียยิ่งกว่าแม่พระ ทุกครั้งที่มาเมืองไทย มาดามจะไปเยี่ยมโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร ที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิแคทลีน ซึ่งความใจดี มีใจอันเป็นกุศล มอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับโรงเรียนเหล่านั้น ได้ช่วยให้เด็กๆ ที่ยากจน ได้มีการศึกษา ได้มีอนาคตที่ดีกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้มาดามแคทลีนก็กำลังจะมอบอนาคตอันใหม่ให้กับครอบครัวของพวกเธอเช่นเดียวกัน
คุณมนรดามองสบตากับสามีนิดหนึ่ง ขณะเห็นบุตรสาวคลี่ยิ้มหวานด้วยความโล่งอก นางเชื่อว่าหากนางฟ้าองค์น้อยๆ ของครอบครัว ได้ยิน ได้รับรู้ข้อแลกเปลี่ยนจากมาดามแคทลีนที่นางกำลังจะบอกไป รอยยิ้มหวานๆ ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้างามคงมีอันเหือดหายไปอย่างฉันพลันเป็นแน่
“ต้นหยก...มาดามแคทลีนเต็มใจจะช่วยครอบครัวของพวกเราให้พ้นวิกฤตในครั้งนี้ แต่มาดามก็ยื่นข้อเสนอมาให้พวกเราทำตามด้วย”
“มาดามยื่นข้อเสนอว่ายังไงคะคุณแม่”
มธุรินถึงกับดีดตัวนั่งตัวตรงแทบจะทันที เมื่อมองสบตากับบิดามารดา แล้วรับรู้ได้ว่าเงื่อนไขของมาดามแคทลีนต้องเกี่ยวพันกับตัวเธอโดยเฉพาะ
“เอ่อ...มาดามอยากให้ต้นหยกแต่งงานกับลูกชายของมาดาม หากต้นหยกรับปาก มาดามก็จะจัดการเคลียร์หนี้ทั้งหมดให้พวกเราทันที”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยบอกเงื่อนไขในการช่วยเหลือจากมาดามแคทลีน พร้อมกันนั้นก็รอลุ้นว่าคำตอบจะออกมาในรูปใด บุตรสาวแสนสวยซึ่งกำลังนั่งนิ่งขึง ราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่ จะตอบรับหรือปฏิเสธกันแน่
มธุรินเงยหน้าขึ้นมองบุพการีทั้งสอง ก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยขอตัวเบาๆ “คุณพ่อ คุณแม่คะ ต้นหยกขอเวลาสักครู่นะคะ ต้นหยก...”
“ไม่เป็นไรลูก” ผู้เป็นบิดาได้เอ่ยขัดออกมาก่อนที่มธุรินจะพูดจบ จากนั้นก็ได้พูดจี้แทงใจดำบุตรสาว “คิดให้ดีก่อนนะต้นหยก เพราะการแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง ที่จะไว้เนื้อเชื่อใจ ฝากชีวิตที่เหลือให้ชายผู้ใดผู้หนึ่งได้ดูแลเธอตลอดทั้งชีวิต พ่ออยากให้ต้นหยกคิดถึงตัวเองให้มากๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องทรัพย์สินนอกกายที่จะถูกยึดไป หากเราไม่เหลืออะไรเลย พ่อก็จะแบกหน้าขอยืมเงินจากมาดามสักก้อน เพื่อไปซื้อที่ดินตามชนบท ปลูกผัก เลี้ยงปลาทำการเกษตรกรเพื่อเลี้ยงดูแม่ของลูก”