บทที่ 1
บรรยากาศภายในห้องโถงของคฤหาสน์รติกานต์ เต็มไปด้วยความอึมครึม ราวกับมีเมฆหมอกหนาทึบมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เมื่อประมุขของบ้านได้นำข่าวร้ายที่สุดในชีวิต มาบอกให้กับบุตรสาวได้ทราบถึงสภาพทางการเงินและสภาพฐานะทางครอบครัวของพวกตนในขณะนี้
“ไม่มีเงินใช้หนี้ เป็นคนหมดตัว ล้มละลาย ไม่มีที่ซุกหัวนอน...”
เจ้าของเรียวปากอิ่มสีกุหลาบ ได้พึมพำทวนคำพูดของบิดามารดา ราวกับคนละเมอ ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องมองบุพการีทั้งสองราวกับไม่เคยเห็น ก่อนจะย้ำถามอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าถ้อยคำนับสิบๆ ประโยคที่บิดามารดาได้เอ่ยบอกมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ เมื่อสักครู่ต้นหยกไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมคะ”
มธุริน รติกานต์ หรือคุณหนูต้นหยก ของครอบครัว หลุดเสียงถามบุพการีทั้งสอง ในใจนั้นไม่อยากเชื่อว่าสถานะภาพของการกลายเป็นบุคคลล้มละลาย กำลังจะคืบคลานเข้าหาครอบครัวของตนเอง
คุณมนรดา ผู้เป็นมารดาได้เหลือบสายตามองลูกสาว พร้อมกับทำตาปริบราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา เมื่อได้เอ่ยย้ำความชัดเจนให้ลูกสาวได้มั่นใจอีกครั้ง
“ใช่แล้วลูก ถ้าหากไม่สามารถหาเงินไปใช้หนี้ได้ พวกเราก็จะกลายเป็นบุคคลล้มละลายทันที”
มธุรินหรี่ดวงตาคู่สวยมองมารดาราวกับไม่เชื่อหู จากนั้นก็หันไปจ้องมองบิดา ใบหน้ารูปไข่งดงามเต็มไปด้วยริ้วรอยของความหมองเศร้า ก่อนจะเอ่ยถามบิดาอีกคน
“ที่คุณแม่พูดมาเป็นเรื่องจริงหรือคะคุณพ่อ”
“เอ่อ...จริงลูก พ่อคาดการณ์เรื่องธุรกิจผิดพลาดไปหน่อย เลยทำให้มีหนี้สินล้นตัว จนไม่สามารถหาเงินมาให้ใช้หนี้ได้”
คุณรวิช พยายามตีหน้าเศร้า เอ่ยตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่พอได้ยินเสียงขัดค้านที่เอ่ยออกมาอย่างมีเหตุมีผล ก็ได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ
“ต้นหยกไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพวกเรากำลังจะล้มละลาย เมื่อสองสามวันก่อน ต้นหยกยังได้อ่านรายงานจากฝ่ายบัญชีเลยว่า บริษัทของเราทำกำไรได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ตั้ง 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วจู่ๆ พวกเราจะกลายเป็นคนมีหนี้สิน กลายเป็นคนล้มละลายได้ยังไงกันล่ะคะคุณพ่อคุณแม่”
ผู้เป็นบิดาสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ไม่นึกว่าลูกสาวจะเข้าไปเห็นข้อมูลทางการเงินของบริษัทแล้ว เขาได้หันไปมองภรรยาคู่ชีวิตอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเดียวกันหัวสมองอันชาญฉลาดก็ขบคิดหาข้อมูล ที่จะมาหักล้างความจริงที่บุตรสาวได้ไปเห็นมา
“ต้นหยกลูกรัก...ที่หนูเห็นนั้นมันเป็นตัวเลขหลอกๆ ที่พ่อได้สั่งให้ฝ่ายบัญชีทำขึ้นมา เพื่อตบตาหุ้นส่วนของเรา แต่จริงๆ แล้วบริษัทของเราไม่เคยมีกำไรมาสองปีติดกันแล้วลูก แถมหนี้สินก็เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปีด้วย”
คุณมนรดาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาตรงหางตา ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตกริยาของลูกสาว ก่อนจะเอ่ยย้ำเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อมูลที่สามีได้เอ่ยพูดบอกไป
“ต้นหยก...แม่กับพ่อต้องขอโทษหนูด้วย ที่ปกปิดเรื่องนี้ไว้นาน พ่อกับแม่ไม่อยากให้หนูไม่สบายใจ ไม่อยากให้หนูพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย จึงไม่ได้บอกหนูตั้งแต่แรก แต่เอ่อ...ตอนนี้พ่อกับแม่ไม่สามารถปกปิดความจริงทั้งหมดไว้ได้แล้ว พ่อกับแม่ก็เลยจำเป็นต้องบอกให้ลูกได้รับรู้ และเตรียมใจรับสภาพที่กำลังแล่นเข้าหาครอบครัวของพวกเราในเร็วๆ วันนี้”
มธุรินยกมือลูบหน้าตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นความจริง เมื่อสักครู่เธอคิดว่าตนเองกำลังตกอยู่ในฝันร้าย แต่ทว่าฝันนั้นมันได้ตามหลอกหลอนติดตัวเธอมาจนถึงตอนนี้
“พวกเราเป็นหนี้ทั้งหมดเท่าไรคะคุณพ่อคุณแม่”
“สิบล้าน!”
“ยี่สิบล้าน!”
ตัวเลขที่คลาดเคลื่อนกันเป็นสิบๆ ล้าน ซึ่งบิดามารดาได้เอ่ยบอกออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน ทำเอามธุรินต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เพราะในขณะที่บิดาบอกว่าสิบล้าน มารดากลับบอกว่ายี่สิบล้าน ซึ่งเธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวของเธอเป็นหนี้สินอยู่เท่าไรกันแน่
“ตกลงแล้วพวกเราเป็นหนี้เท่าไรคะ”
คุณมนรดาถึงกับแอบหยิกหนักๆ ลงไปบนสีข้างของสามี ที่ดันเอ่ยบอกจำนวนเงินน้อยกว่านางเป็นอย่างมาก นางทำเป็นยกผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดซับน้ำตาอีกครั้ง แต่จริงๆ แล้วต้องการเอาผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่มาปกปิดใบหน้าของตนเองไม่ให้ลูกสาวได้เห็น ขณะได้หันไปทำปากขมุบขมิบกระซิบบอกสามี
“ยี่สิบล้าน บอกลูกว่ายี่สิบล้าน”
คุณมนรดาได้ทำปากพะงาบๆ บอกสามีในจำนวนเงินที่ค่อนข้างมากโข และพอรู้ว่าลูกสาวเริ่มสงสัยให้เข้าแล้ว
ก็แกล้งบีบน้ำตาให้ร่วงเผาะ ก่อนจะรำพึงรำพันเสียงปนสะอื้นฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก
“แม่...บอกพ่อแล้วว่าอย่าเสี่ยงทุ่มเงินลงทุนมาก เห็นไหมว่าตอนนี้เป็นยังไง จากที่มีหนี้สิบล้านก็กลายเป็นยี่สิบล้านภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี”
ผู้เป็นสามีรีบปรับสีหน้าให้ดูเศร้าหมอง พลางพยักหน้าช้าๆ เป็นการยืนคำพูดของภรรยา ให้บุตรสาวได้หลงเชื่อว่าที่พวกตนได้เอ่ยพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
“พ่อไม่คิดว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตอนนี้พ่อคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้สิน ที่กำลังพันรอบตัวพวกเราไว้แน่น”
เจ้าของใบหน้างามลออ ซึ่งหลงกลตกหลุมพรางของบุพการีทั้งสองเข้าอย่างจัง ได้ลุกขึ้นไปนั่งกับพื้นพรม แล้วจับมือบิดามารดามากุมไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยให้กำลังใจท่านทั้งสอง เหตุการณ์ผ่านล่วงเลยมาถึงขั้นนี้แล้ว จะโทษบิดามารดาไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา สู้ช่วยกันขบคิดหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้นกว่าเดิมจะดีกว่า
“คุณพ่อคุณแม่คะ อย่าโทษตัวเองไปเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องช่วยกันหาหนทาง หาเงินมาใช้หนี้นะคะ”
ว่าแล้ว มือเล็กก็ถอดสร้อยทองคำขาวห้อยจี้เพชร ซึ่งเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำออกมาจากลำคอระหง พร้อมกับปลดสร้อยข้อมือเพชรและแหวนเพชร ซึ่งเครื่องประดับราคาแพงทุกชิ้น ล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองทั้งสิ้น นำไปวางไว้บนมือของมารดา พร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยบอกให้บุพการีทั้งสองท่านได้รู้ถึงความตั้งใจของตนเอง
“คุณแม่เอาเครื่องเพชรของต้นหยกไปขายนะคะ”
คราวนี้ใบหน้าของผู้เป็นมารดาถึงกับซีดเผือดด้วยความเสียใจที่โกหกลูก เพราะอีกฝ่ายยอมสละของรักของหวงเพื่อให้นางนำไปขายชดใช้หนี้ ที่ตนเองและสามีได้กุขึ้นมาลอยๆ
“เอ่อ...” คุณมนรดาอ้ำอึ้ง นิ่งงันไปหลายนาที ก่อนจะเอ่ยบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แม่ว่าต้นหยกไม่ต้อง ขายเครื่องเพชรพวกนี้ก็ได้ลูก แม่รู้ว่าต้นหยกรักสร้อยกับแหวนมาก ต้นหยกเก็บไว้เถอะนะ”
มธุรินคลี่ยิ้มหวานให้บุพการีทั้งสอง อาการหน้าซีดเผือดของมารดา ทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งของแค่เพียงไม่กี่ชิ้น ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินจำนวนมหาศาล เพื่อนำมาชดใช้หนี้ได้ หญิงสาวกำมือมารดาให้รับเครื่องเพชรของตนเองไว้ ก่อนจะเอ่ยบอกให้บุพการีทั้งสองได้นิ่งขึงไปอีกครา
“คุณแม่นำไปขายเถอะค่ะ ส่วนรถของต้นหยก เดี๋ยวต้นหยกจะฝากให้เพื่อนๆ ขายให้ เผื่อจะได้ราคาดี ไม่ถูกกดราคาเหมือนเอาไปขายตามเต็นท์รถ ต้นหยกไม่เสียดายของพวกนี้หรอกค่ะ มันเป็นของนอกกาย หากมีโอกาสเราก็ซื้อกลับคืนมาได้ แต่ต้นหยกไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องทุกข์ใจเกี่ยวกับเรื่องหนี้สิน”