ตอนที่ 4 ความเสียใจ
งานแต่งเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นตามความต้องการของฤชุดา เธอให้เหตุผลว่ากำลังศึกษาอยู่หากแต่งอย่างเอิกเกริกอาจจะส่งผลต่อการดำรงชีวิตในมหาวิทยาลัย และภวัตเองก็สนับสนุนอีกเสียง ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งยินยอมและจัดพิธีขึ้นที่บ้านของฤชุดาหนึ่งเดือนหลังจากนั้น
พิธีการมีเพียงการผูกข้อต่อแขนเท่านั้น แม้ว่าคู่บ่าวสาวจะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แต่ทว่าในวันนี้ทั้งสองกลับมีสีหน้ายิ้มแย้มเพื่อเอาใจผู้ใหญ่ในงาน
ชุดบ่าวสาวเป็นชุดไทยประยุกต์ดีไซน์เรียบโก้ที่ฤชุดาเป็นฝ่ายเลือกด้วยตัวเอง ส่วนฝ่ายชายนั้นแทบจะไม่มีส่วนตัดสินใจ ซึ่งเธอก็รู้ดีว่าเขาแค่ทำตามหน้าที่ให้มันจบ ๆ ไปก็เท่านั้น
“พ่อขอให้ลูกทั้งสองคนรักกันไปจนแก่เฒ่า หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน ดาอย่าดื้อกับพี่เขานะลูก ทำหน้าที่ภรรยาให้ดีอย่าให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง” วันนี้ธนวิชญ์สวมชุดสูทเต็มยศ ตั้งใจซื้อมาเพื่องานแต่งลูกสาวโดยเฉพาะ ยิ่งนานวันอาการยิ่งทรุดลงเรื่อย ๆ แต่ทว่าเจ้าตัวยังคงฝืนตัวเองนั่งรถเข็นมารดน้ำสังข์ลูกสาวให้ได้ โดยมีเพื่อนรักคอยเป็นคนเข็นให้
“ดาจะนำคำสั่งสอนของพ่อไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดามั่นใจว่าพ่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ดาแล้วค่ะ” เธอยิ้มให้พร้อมทั้งน้ำตาเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขนี้ คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำให้บิดาได้เพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน
“ลุงฝากน้องด้วยนะคิว น้องยังเด็กอาจจะทำอะไรไม่ถูกใจบ้าง ยังไงก็อย่าถือสาน้อง ให้อภัยน้องด้วยนะ”
“ครับคุณลุง ผมจะดูแลน้องดาให้ดีที่สุด คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ได้ยินอย่างนี้ลุงก็สบายใจแล้วล่ะ”
แม้ร่างกายจะไม่ไหวเต็มทนแล้ว แต่ธณวิชญ์ยังคงพยายามควบคุมมือที่ถือสังข์รดน้ำต่อไปให้จบ ก่อนที่รณภพจะเป็นฝ่ายหยิบมันจากมือเพื่อนไปวางไว้ที่พานวางดังเดิม
ลำดับถัดไปก็คือพิมพ์พจี วันนี้เธอยิ้มร่าแทบจะทุกวินาที เมื่อได้ลูกสะใภ้ตรงตามความปรารถนาทุกประการ และคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะมาเป็นคู่ครองที่หนุนนำให้ชีวิตลูกชายดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ต่อไปนี้หนูดาคือลูกสาวของแม่แล้วนะ ขอให้ลูกทั้งสองคนรักกันจนถึงไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แม่ฝากดูแลตาคิวด้วยนะ ค่อยๆ ปรับจูนเข้าหากันอีกไม่นานแม่เชื่อว่าลูกทั้งสองจะต้องรักกันมากแน่ ๆ”
“ขอบคุณค่ะเอ่อ...คุณแม่ ดาจะเป็นภรรยาและสะใภ้ที่ดี ให้คุณแม่ภูมิใจค่ะ” เธอยิ้มแม้ในใจอยากจะตะโกนบอก ว่าภวัตต่างหากที่เป็นฝ่ายปฏิเสธความหวังดีจากเธอ และนั่นก็ช่วยไม่ได้เพราะเธอจะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
“ดูแลและรักน้องให้มาก ๆ นะลูก หนูดาคือคนที่เหมาะกับลูกที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะยังไงแม่ก็มีแค่สะใภ้คนนี้คนเดียวเข้าใจไหม”
“ครับแม่” ภวัตตอบสั้น ๆ จากนั้นเหลือบมองเจ้าสาวด้วยหางตา ฤชุดารู้ว่าฝ่ายชายกำลังเบื่อหน่ายกับพิธีการนี้มากแค่ไหน เขาคนเดียวซะที่ไหนที่ต้องทนเธอเองก็อึดอัดใจไม่น้อย ยิ่งคืนนี้จะต้องเข้าห้องหอ ยังคิดภาพไม่ออกเลย ว่าจะอยู่ในห้องสองต่อสองกันได้อย่างไร
ก่อนพิธีรดน้ำสังข์จะเสร็จสิ้นลง ภวัตก็หันไปกระซิบข้างหูเจ้าสาวเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มของเธอ
“ยิ้มบ้างก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าพี่เป็นเจ้าบ่าวที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้เจ้าสาวยิ้มไม่ได้”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพี่สักหน่อย ดาอยากยิ้มก็จะยิ้มเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีใครบอก” เธอกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเบนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าผู้ชายที่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ให้เปลืองลูกตา
..........
พิธีการดำเนินไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แบบ แขกที่มาร่วมงานซึ่งมีเพียงแค่ญาติสนิทไม่กี่คนต่างก็ทยอยเดินทางกลับจนหมด คงเหลือเพียงเจ้าบ่าวเท่านั้นที่คืนนี้จะต้องค้างคืนในวันเข้าหอ ก่อนที่พรุ่งนี้จะกลับไปตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาล
ทั้งสองตกลงกันไว้ว่าภวัตต้องมาค้างคืนที่บ้านหลังนี้เป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่ผิดสังเกต โดยอ้างเรื่องที่ต้องฝึกงานในโรงพยาบาลที่ห่างจากบ้านของฤชุดาพอสมควร
“วันนี้พ่อมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยรู้ไหม อย่างน้อยพ่อก็ได้อยู่เห็นวันสำคัญของลูกสาวสุดที่รัก” ธนวิชญ์เอ่ยขณะนอนอยู่บนเตียงให้ลูกสาวเช็ดตัวอย่างเช่นทุกวัน
ฤชุดามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำเพื่อผู้ชายที่รักสุดหัวใจคนนี้ บิดาคือทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต โดยไม่มีอะไรจะทดแทนหรือเทียบเท่าได้เลย
“ดาก็ดีใจค่ะที่เห็นพ่อมีความสุข วันนี้พ่อยิ้มบ่อยมาก ยิ้มอย่างนี้ทุกวันจะได้ไหมคะ รอยยิ้มของพ่อก็ทำให้ดามีความสุขเหมือนกัน”
“หากไม่มีพ่อแล้วดาต้องรักพี่คิว รักลุงภพและป้าพิมพ์ให้มาก ๆ นะ”
“ไม่เอาสิคะพ่อ อย่าพูดอย่างนี้เด็ดขาด พ่อจะต้องอยู่กับดาไปนาน ๆ เห็นไหมว่าวันนี้พ่อดีขึ้นมากเลย หมอบอกว่าอาการพ่อดีขึ้นมากเลยนะคะ” เธอยังคงยิ้มแม้สิ่งที่บอกบิดาไปนั้นจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณหมอบอก
“ไม่ว่าพ่อจะอยู่หรือไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่พ่อคนนี้ยังอยู่ในใจดาตลอดไปไม่ใช่หรือ” คนป่วยที่นอนบนเตียงในสภาพร่างกายซูบผอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใช่ค่ะ พ่อจะอยู่ในใจดาตลอดไป พ่อสุดที่รักของดา” เธอวางผ้าผืนเล็กลงข้างเตียงเพื่อสวมกอดบิดา เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลทั้งที่ในใจเจ็บเจียนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว