ตอนที่ 5 ย้ายบ้าน
“พ่อก็รักลูกที่สุดในโลกเหมือนกัน” ธนวิชญ์พยายามยกมือที่สั่นเทาและไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาโอบกอดลูกสาว เขาหลับตาลงอย่างช้า ๆ ในขณะที่หัวใจเริ่มเต้นช้าลงเรื่อย ๆ จนแน่นิ่งไปในที่สุด น้ำตาแห่งความสุขไหลลงจากหางตาพร้อมกับลมหายใจที่หมดลง
“พ่อคะ”
” ....”
“พ่อ...ฮึก”
“...”
เมื่อรู้ว่าบิดาได้จากไปแล้วเจ้าหล่อนจึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง โอบกอดร่างไร้วิญญาณไว้อย่างเจ็บปวดและทรมาน หัวใจดวงนี้แตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อรู้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
“พ่อ! ฮือ... พ่อจะจากหนูไปอย่างนี้ไม่ได้นะหนูไม่ยอมเด็ดขาด พ่อลืมตาขึ้นมามองหนูสิคะ” เธอกอดร่างบิดาร่ำไห้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด จนคนที่อาบน้ำเสร็จมาหมาด ๆ ได้ยินจึงรีบวิ่งลงมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น!”
“พี่คิว! ช่วยพ่อด้วย ฮือ...” เธอหันไปมองชายหนุ่มผ่านม่านน้ำตา
ภวัตรีบวิ่งเข้ามาตรวจชีพจรก็พบว่าร่างที่หญิงสาวกอดไว้นั้นได้สิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว
“คุณลุงท่านไปสบายแล้ว”
“พี่เป็นหมอทำไมไม่ช่วยชีวิตพ่อดาไว้ล่ะคะ รีบช่วยพ่อเดี๋ยวนี้เข้าใจไหม!” เธอตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดัง ไม่สามารถควบคุมสติอารมณ์ได้ในตอนนี้ ซึ่งภวัตเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในห้วงแห่งความเสียใจ
“พี่จะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับศพคุณลุงละกัน พี่รู้ว่าดาเสียใจแต่ต้องพยายามควบคุมสติให้ได้ คิดเสียว่าคุณลุงท่านไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดและทรมานกับโรคที่เป็นอยู่อีกแล้ว จะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง” ภวัตพยายามปลอบใจ ก่อนจะกดเบอร์โทรฯ หาโรงพยาบาลที่ตนเองกำลังเป็นคุณหมอฝึกหัดให้มารับศพ แล้วยืนดูภาพนั้นด้วยความรู้สึกสงสาร ลังเลว่าจะช่วยปลอบใจอย่างไรดีระหว่างยืนดูอยู่อย่างนี้ หรือวางมือบนแผ่นหลังแล้วลูบเบา ๆ ให้สมกับคนที่เพิ่งจะเข้าพิธีแต่งงานกันมาหมาด ๆ
หมับ!
ในที่สุดภวัตก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง ตอนแรกยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น แทนที่จะได้เข้าห้องหอแต่ทว่าคืนนั้นทั้งคืน ทั้งสองกลับต้องช่วยกันจัดการเรื่องศพของบิดาจนแทบไม่ได้หลับได้นอน
หลายวันต่อมา...
หลังจากบิดาได้จากลาโลกใบนี้ไปแล้ว บัดนี้คงเหลือไว้เพียงอัฐิที่อยู่ในโกศสีทองและภาพถ่ายที่นำมาจากวัดให้ดูต่างหน้า ฤชุดาเดินถือทั้งสองอย่างนั้นนำหน้าทุกคนเข้ามาในบ้าน เมื่อวางอัฐิและรูปถ่ายบิดาไว้บนหิ้งแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มทักทาย มองดูรอยยิ้มของบิดาในภาพถ่ายผ่านม่านน้ำ
“ดาพาพ่อกลับมาบ้านเราแล้วนะคะ ต่อไปนี้พ่อไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว ดาสัญญาว่าจะทำให้พ่อภูมิใจที่สุด จะไม่ทำให้พ่อผิดหวังในตัวดาแน่นอน”
พิมพ์พจีเอียงหน้าไปมองหน้าสามีหลังจากมองดูลูกสะใภ้อยู่ครู่หนึ่ง รณภพพยักหน้าตอบรับอย่างรู้กัน ทั้งสองตั้งใจจะต้องเกลี้ยกล่อมให้สาวน้อยวัยใสย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านในฐานะลูกสะใภ้อย่างเต็มตัว แต่ทว่าเรื่องนี้ภวัตกลับยังไม่ทราบเรื่อง เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องออกตรวจคนไข้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้ายันเย็น จนแทบไม่มีเวลาได้พูดคุยกับครอบครัวเลย
“หนูดาจ๊ะ แม่มีเรื่องจะบอกน่ะ” พิมพ์พจีเดินเข้าไปใกล้ จับมือน้อย ๆ ของลูกสะใภ้ขึ้นมาถือไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
“มีอะไรคะคุณแม่”
“ตอนนี้หนูกับตาคิวก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้ว แม่ว่าหนูควรย้ายเข้าไปอยู่บ้านกับพวกเรานะจ๊ะ”
“แต่ดาอยากอยู่ที่นี่ค่ะ แล้วคุณพ่อจะอยู่กับใคร”
“อยู่ที่นี่รังแต่จะทำให้หนูจมปรักอยู่กับความเศร้า แม่ว่าย้ายไปอยู่กับแม่ที่บ้านนั่นล่ะดีแล้ว เอาอัฐิพ่อไปด้วยหนูดาจะได้รู้สึกอุ่นใจยังไงล่ะลูก”
“ไปอยู่ด้วยกันนะหนูดา หากไอ้วิชญ์รู้มันคงสบายใจที่หนูไปอยู่ที่นั่น” รณภพกล่าว แถมยังหันไปขยิบตาให้ลูกชายที่ยืนข้างกันให้ช่วยอีกเสียง
ภวัตยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ยอมเอ่ยปากช่วยตามใจบิดามารดา
“ย้ายไปอยู่ด้วยกันนะน้องดา เวลาไปเรียนเราจะได้ไปด้วยกันยังไงล่ะ”
ฤชุดารู้ดีว่าเขาพูดเพื่อเอาใจบิดามารดาเท่านั้น เธอเห็นแก่ผู้ใหญ่ทั้งสองจึงยอมใจอ่อน อย่างน้อยการได้ไปอยู่ที่ใหม่ มันคงจะช่วยไม่ให้เธอจิตตกเพราะความคิดถึงบิดาได้มากพอสมควร
“ค่ะ...ดาจะย้ายไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่”
“แม่ดีใจที่สุดเลย ตาคิวรีบพาน้องขึ้นไปเก็บของเร็วลูก” พิมพ์พจีดึงแขนลูกชายให้มายืนข้างฤชุดาโดยเร็ว ราวกับกลัวว่าสาวเจ้าจะเปลี่ยนใจ
“ครับคุณแม่” ภวัตยอมเล่นตามบทอย่างว่าง่าย “เดี๋ยวพี่ไปช่วยเก็บของนะ” คว้ามือเรียวมาจับไว้แล้วลากตัวขึ้นไปยังชั้นบนไม่ยอมให้ฤชุดามีโอกาสปฏิเสธอะไรเลยสักคำ
..........