บทที่ 4 บอบช้ำ
ในที่สุดเสิ่นหรันหรันก็ฟื้นขึ้นมารับรู้ความจริงอีกครั้ง และตอนนี้เธอก็ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งชื่อโจวรุ่ย
โจวรุ่ยคนนี้มีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ทั้งยังตัวสูงเหมือนนายแบบ เขาเป็นคนที่ทำให้เสิ่นหรันหรันรู้ว่าเธอไม่ได้ฝันไป
“ข้าเป็นหมอ องค์หญิงไม่ต้องกลัวข้า ข้าช่วยรักษาท่าน”
เสิ่นหรันหรันดื่มยาที่เขามอบให้จากนั้นเธอก็เอ่ยปากถามเขา
“คุณเป็นหมอจริง ๆ เหรอคะ”
เขาพยักหน้า
“หรันหรันถามหน่อยค่ะ”
คุณหมอโจวยิ้มแล้วพูดว่า
“องค์หญิงพักผ่อนก่อนเถิด ท่านเป็นพระชายาอ๋องข้าอยู่ได้ไม่นาน อาการดีกว่านี้แล้วค่อยพูดคุย”
จากนั้นโจวรุ่ยก็ออกไปทันใด โดยที่เสิ่นหรันหรันยังไม่ได้ไขข้อข้องใจแม้แต่เรื่องเดียว เสิ่นหรันหรันตะโกนตามหลังเขาไปแต่ดูเหมือนโจวรุ่ยจะไม่สนใจแล้ว
“หรันหรันไม่ใช่องค์หญิง นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะคะ พวกคุณเข้าใจผิดจริง ๆ ค่ะ”
หลังจากโจวรุ่ยออกไปแล้ว เสิ่นหรันหรันก็ไม่กล้าขยับ เธอยังไม่มีแรงเดินด้วยซ้ำ เธอยังไม่หายดีจึงได้แต่นอนนิ่ง ๆ นอนไปนอนมาก็หลับไปอีกครั้งกระทั่งยามเย็นมาเยือน
ตะเกียงน้ำมันถูกจุดขึ้น เสิ่นหรันหรันก็รู้สึกตัว ตื่นมาครานี้ดูเหมือนว่าร่างกายจะเบาขึ้น ไม่มีอาการปวดหัว อาการเจ็บปวดไปทั้งตัวก็ทุเลาลงเล็กน้อย
และแล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดพร้อมกับเสียงกรีดร้องของคนคนหนึ่งดังขึ้น
คราวนี้เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ลากเข้ามาให้คุกเข่าต่อหน้าเธอ เสิ่นหรันหรันยังมึนงง เธอมองหน้าผู้ชายคนนั้นที่ย่ำยีเธอก่อนหน้าและผู้หญิงที่คุกเข่าสลับไปมา
เธอไม่คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้
“คุณเป็นใครคะ”
ผู้หญิงคนนี้ยังสวมชุดโบราณสีขาวและดูเหมือนว่าเธอจะถูกทรมานอย่างหนักจนมีรอยเลือดเต็มไปทั้งหน้า ใบหน้ายังเขียวช้ำเหมือนถูกใครตีมา เสื้อผ้าเปรอะไปด้วยโคลนและเลือด
เสิ่นหรันหรันต้องเจอเรื่องน่ากลัวอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าจะต้องตกใจอะไรก่อนดีแล้ว
“นะ นี่มันอะไรกันอีก”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องเสิ่นหรันหรันอย่างไม่เชื่อสายตา
“องค์หญิง ทำไมถึงยังมีชีวิต ไม่จริง ไม่จริง”
เสิ่นหรันหรันดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ผู้หญิงคนนี้เรียกเธอว่าองค์หญิงเหมือนกับโจวรุ่ย ทำไมพวกเขาถึงได้เรียกเธอแบบนี้
“ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันไม่ใช่องค์หญิงฉันคือหรันหรัน”
ผู้หญิงคนนั้นกลับมีท่าทางเสียสติยิ่งกว่าเสิ่นหรันหรันเสียอีก เธอหวีดร้องออกมาทั้งเอาแต่พูดว่า
“ไม่จริง ไม่จริง ข้าใส่ยาในสุราของเจ้าแล้ว ไยเจ้าไม่ตาย ไยเจ้าจึงยังมีชีวิตรอด ไม่จริง ข้าฆ่าเจ้าแล้ว ข้าวางยาเจ้ากับมือ เจ้ารอดมาได้อย่างไร ไม่จริง”
คนผู้นั้นยิ้มเหี้ยมเกรียมเอ่ยเสียงเยียบเย็น
“เจ้ากล้าทำเรื่องนี้ต่อหน้าข้า คิดว่าได้มีโอกาสติดตามข้าแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้หรือ สตรีงี่เง่าไร้สมอง”
ผู้หญิงคนนั้นหันไปมองเขา สีหน้าลนลานหวาดกลัว
“ท่านอ๋อง ได้โปรดเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้วเพคะ อย่าฆ่าหม่อมฉัน ท่านอ๋องได้โปรดเห็นแก่ความดีความชอบของหม่อมฉันที่ผ่านมาเถิด”
ผู้ชายคนนั้นมองสตรีนางนั้นด้วยสายตาเหี้ยมโหด น้ำเสียงแข็งกร้าว
“เจ้าคิดว่าข้าให้ติดตามมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจะเหนือสตรีอื่นหรือ คนมักใหญ่ใฝ่สูงทั้งยังไม่เจียมตนเช่นเจ้าข้าจะเก็บเอาไว้เพื่อสิ่งใดกัน”
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดน้อยไปเพคะ หม่อมฉันรักท่าน หม่อมฉันหวาดกลัวว่าจะมีผู้ใดมาแย่งท่านไปจากหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงตาบอดไปเช่นนั้น”
“เจ้าจะบอกว่าเป็นความผิดข้าหรือ เพราะรักข้าเจ้าจึงได้ลงมือทำเรื่องต่ำช้าหรือ ข้าให้เจ้ารับใช้องค์หญิงในฐานะบ่าว เจ้ากลับกล้าลงมือวางยาพิษ สตรีของข้าเจ้าอยากจะแตะก็แตะได้หรือ โง่เง่านัก เป็นสองมือนี้ใช่หรือไม่ที่วางยาพิษนาง เช่นนั้นก็...”
จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับพายุทำให้เสิ่นหรันหรันมองการเคลื่อนไหวนั้นไม่ทันด้วยซ้ำ
เสิ่นหรันหรันกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ท่านอ๋อง กรี๊ดดด”
ผู้ชายคนนั้นลงมือตัดมือคนอย่างรวดเร็วและเหี้ยมโหด จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง
“ลากนางไปทิ้งไว้กลางป่า ดูสิว่านางจะเอาตัวรอดจากสัตว์ที่หิวกระหายอย่างไร”
ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเก็บฟืนแห่งนี้พร้อมกับรับคำราบเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ผู้หญิงคนนั้นทั้งกรีดร้องไม่หยุด ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่ากำลังเจ็บปวดและทรมานมากเพียงใด เลือดสด ๆ ไหลตามผู้หญิงคนนั้นไปเป็นสาย
เสิ่นหรันหรันมองเหตุการณ์ตัดมือคนตรงหน้า พร้อมกับมองใบหน้าของอ๋องปีศาจอย่างตื่นตะลึง ปากพูดคำซ้ำไปมา
“เรื่องนี้เป็นแค่ความฝัน เรื่องนี้ไม่จริง เรื่องนี้เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น”
จากนั้นสติของนางก็พลันดับวูบไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไป