บทที่ 4 เข้าเมือง (4/1)
บทที่ 4 เข้าเมือง
แม่หลี่คิดตามคำพูดของลูกสะใภ้รอง ก่อนจะหันมามองหม่าหลันจีและลู่เสี่ยวเหมยเชิงตั้งคำถาม ทว่าทั้งสองกลับไม่ตอบ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง “เรื่องที่เพ่ยชิงพูดมาเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนหรือไม่ ก่อนหน้านี้แม้ฉันจะอยากได้หม่าหลันจีมาเป็นสะใภ้ แต่-เวลานี้เจ้ารองแต่งงานแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายชีวิตของเขา ส่วนเธอ หม่าหลันจี เธอเองน่าจะหาคู่ครองได้แล้วนะ อย่ารอเจ้า¬รองอีกเลย ต่อให้เพ่ยชิงพูดเรื่องหย่า แต่หากไม่มีใครไป¬กดดัน ฉันเชื่อว่าเพ่ยชิงคงไม่พูดคำนี้ออกมา คิดและทบทวนให้ดี” แม่หลี่พูดจบแล้วจึงเดินจากไปอีกคน
เรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เวลานี้เจ้ารองของเธอมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว จะหย่าหรือไม่ อยู่ที่ทั้งสองคนตัดสินใจ
แต่เธอเชื่อว่าฮั่นตงไม่มีวันหย่าหรอก ขนาดลูกสะใภ้เธอร้ายกาจยังไง ยังไม่มีคำว่าหย่าออกมาจากปากลูกชายของเธอเลยสักครั้งเดียว อีกอย่าง เวลานี้เหมือนเพ่ยชิงจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮั่นตงจะหย่า อีกทั้งลูกชายเธอรักลูกทั้งสองคนมาก ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ครอบครัวแตกแยกแน่นอน
“นังนั่นมันล้างสมองป้าสะใภ้หลี่หรือยังไงกันนะ ถึงได้พูดเข้าข้างมันอย่างนี้ แล้วที่เธอรอมาหลายปีล่ะ ไม่เสียเวลาเปล่าเหรอ”
ลู่เสี่ยวเหมยบ่นกับสหาย นี่จึงทำให้แววตาของหม่าหลันจีวาวโรจน์เล็กน้อย ก่อนจะปรับมาเป็นปกติ
“ช่างเถอะ ยังไงเรื่องนี้ฉันผิดเองที่รอพี่ฮั่นตง หากพี่ฮั่นตงกลับมาครั้งนี้แล้วเห็นบาดแผลบนใบหน้าของโจวเพ่ยชิง ไม่แน่ เขาอาจจะคิดใหม่เรื่องหย่า¬ร้างก็ได้ ฉันจะยังคงรอพี่ฮั่นตงต่อไป หากไม่ใช่พี่ฮั่นตง ฉันยินดีอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต”
ลู่เสี่ยวเหมยรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของสหาย แต่ไม่คิดอะไร เมื่อเห็นสายตาของชาวบ้านและเห็นเกวียนผ่านมาจึงรีบเดินไปขึ้นเกวียนทันที
ทางด้านโจวเพ่ยชิง หลังจากแยกจากแม่สามีและกลุ่มของหม่าหลันจีมาแล้ว พอเดินทางมาถึงป่ารกร้างจึงแอบเอาจักรยานออกมาจากห้างสรรพสินค้า ก่อนจะรีบปั่นเข้าอำเภออย่างที่ตั้งใจ
ระหว่างทาง เธอมองดูบรรยากาศเดิม ๆ อีกครั้ง น้ำตาซึมเล็กน้อยเมื่อเจอกับสถานที่ที่เธอคุ้นเคย ก่อนที่สายตาจะมองเห็นหญิงวัยกลางคนอายุน่าจะพอ ๆ กับแม่สามี ป้าคนนี้นั่งอยู่กับหลานชายซึ่งอายุน่าจะไม่ต่างกับลูกเธอมากนัก จึงตัดสินใจจอดจักรยานและลงไปถาม
“ป้าคะ ทำไมมานั่นตรงนี้ล่ะคะ”
“แม่หนู ปะ ปะ ป้า เอ่อ...” ป้าคนนี้ไม่กล้าพูดอะไรมาก วันนี้เธอต้องการแลกเปลี่ยนของบางอย่างในตลาดมืด แต่กลับไม่มีใครยอมรับแลกเลยสักคนเดียว เวลานี้เธอต้องการอาหารและยาลด-ไข้ เพื่อนำกลับไปให้ลูก¬ชายที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่บ้าน
“ป้าเล่ามาเถอะ ฉันเป็นเพียงชาวบ้าน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่หรือคนของรัฐหรอกนะ” โจวเพ่ยชิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เธอคิดว่าป้าคง-ไม่กล้าบอกอะไร เพราะกลัวว่าเธอเป็นคนของรัฐ
“ป้ากับหลานต้องการเอาของบางอย่างมาแลกเปลี่ยนในตลาดมืด แต่กลับไม่มีใครรับแลก เวลานี้ลูกชายป้าป่วยหนัก ตอนนี้บ้านเราไม่มีเงินซื้อยาให้เขา หลานชายคนนี้ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ความเศร้าและท้อแท้ในแววตาของป้า มองมาทางโจวเพ่ยชิงอย่างไม่ปิดบัง
เวลานี้มีชาวบ้านหลายครัวเรือนอดอยากไม่น้อย และคิดว่าป้าคนนี้ในอดีตคงเป็นคนมีฐานะ หรือไม่ก็เป็นคนยุคสมัยศักดินา
“ป้าเอาของมาให้ฉันดูได้ไหมจ้ะ เผื่อฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง”
หญิงวัยกลางคนครุ่นคิดไม่นาน จึงหยิบห่อผ้าบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ซึ่งในนี้มีเครื่องประดับอยู่สองสามชิ้นและมีทอง-ก้อนเล็กๆ อีกสองก้อน โจวเพ่ยชิงไม่รู้หรอกว่าข้าวของพวกนี้จะ¬มีค่าหรือไม่ในอนาคต แต่ช่วงที่เธอตายไป ข้าวของพวกนี้ไม่ใช่ของต้องห้ามอีกแล้ว
“ป้าต้องการอะไรบ้างคะ นอกจากอาหารและยา”
“แม่หนูจะรับแลกเหรอ แต่ของพวกนี้มันไม่มีค่าอะไรมากนัก ป้าขอแค่อาหารพอประทังชีวิตและยาลดไข้ให้ลูกชายก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้นป้ารอฉันตรงนี้ก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวฉันมา ห้ามไปไหนนะ และเก็บของพวกนี้ไว้ก่อน อย่าให้ใครเห็นเดี๋ยวจะเป็นอันตราย ฉันไปไม่¬นาน”
“จริงเหรอแม่หนู แม่หนูยอมรับแลกใช่ไหม”
“ค่ะป้า รอก่อนนะ”