บทที่ 3 ปะทะคารม (3/1)
บทที่ 3 ปะทะคารม
“พี่ใหญ่ เหมือนซานซานจะได้กลิ่นอาหาร บ้านไหนกินข้าวกันเวลา¬นี้เหรอ”
หลี่ซานซานนั่งอยู่ตรงแคร่หน้าบ้านเอ่ยถามพี่ชาย เพราะได้กลิ่นอาหารนั่นเอง แต่ทว่าบ้านนี้และชาวบ้านทั่วไป กินอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่ลงงานในคอมมูนมากกว่า ที่-จะเตรียมอาหารเผื่อไว้มื้อเที่ยง เนื่องจากต้องใช้แรงงานเยอะ แล้วบ้านไหนกันนะ ที่¬ทำมื้อเที่ยงได้หอมน่ากินชวนน้ำลายไหลอย่างนี้ พูด¬ไปเด็กน้อยก็เผลอเอามือลูบท้องตนเองอย่างลืมตัว พร้อมกับกลืน¬น้ำลายลงคอ
“ไม่รู้เหมือนกัน น้องหิวเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ”
เมื่อเจอคำถามของพี่ชาย เด็กน้อยอย่างซาน¬ซานจึงตอบกลับอย่างไม่¬ปิดบัง แต่แม่มักจะบอกเสมอว่า บ้านเราควรจะกินแค่สองมื้อก็พอเพราะไม่ได้ใช้แรงงาน จึงไม่กล้าคิดว่ากลิ่นอาหารหอมๆ จะมาจากบ้านของตนเอง
ทว่าสองพี่น้องยังไม่ทันได้สนทนาอะไรกันมากนัก กลับได้ยินเสียงผู้¬เป็นแม่ตะโกนเรียกเสียก่อน “อาเฉิน ซานซาน มากินมื้อเที่ยงลูก แม่ทำไว้แล้ว เดี๋ยวจะหายร้อน”
“ไปกันเถอะ แม่เรียกหาแล้ว”
หลี่รุ่ยเฉินแม้จะแปลกใจ แต่เมื่อแม่เรียกหา เด็กน้อยจึงจูงมือน้องสาวเข้าบ้าน แต่พอมาถึงกลับเจอข้าวผัดจานใหญ่สองจานวางไว้บน¬โต๊ะกินข้าว นี่จึงทำให้เด็กน้อยทั้งสองคนสบตากันอย่างแปลกใจยิ่ง¬กว่าเดิมว่า เกิดอะไรขึ้นกับบ้านของตนเอง
แต่จะว่าไป ตั้งแต่แม่ฟื้นจากตกเขาในครั้งนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แม้กระทั่งนิสัยของแม่ เวลานี้เด็กน้อยทั้งสองมั่นใจแล้ว ว่าแม่ของตนนั้นเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“ไม่หิวกันเหรอลูก นี่แม่ตั้งใจทำข้าวผัดให้เพราะกลัวลูกจะ-หิว ลูกทั้งสองอายุเพียงแค่นี้ ต้องกินอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ ร่างกายจะได้โตเร็ว ๆ และแข็งแรงอย่างไรล่ะ มาเร็ว มากินก่อนเถอะ” หญิงสาวเรียกลูกทั้งสองด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“เดี๋ยวแม่จะเข้าไปซื้อของในเมืองเสียหน่อย ลูกอยากได้อะไรกันบ้างหรือเปล่า” โจวเพ่ยชิงบอกลูกทั้งสองว่า เธอจะเข้าไปในเมืองเพื่อ¬หาซื้ออาหาร แล้วยังถามอีกว่าลูกๆ ต้องการอะไรหรือไม่
“ซาน... เอ่อซานซานอยากกินลูกอมค่ะ”
หลี่ซานซานไม่กล้าเอ่ยออกมาเต็มเสียงนักเพราะกลัวแม่ดุ เพราะทุก¬ครั้งที่เธอร้องขออะไร มักจะเจอคำดุด่าและโดนทุบตีอยู่-เสมอ ครั้งนี้จึง¬กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะบอกถึงความต้องการของตนเอง
พอเห็นท่าทางของลูกสาว โจวเพ่ยชิงเข้าใจได้ว่า ก่อนหน้านี้เธอร้าย¬กาจมากแค่ไหน การที่ลูกทั้งสองยังมีความหวาดกลัวต่อตนเอง คง¬ไม่¬แปลกนัก จากนั้นจึงหันมาถามลูกชายว่าต้องการอะไร
“แล้วอาเฉินล่ะ ลูกอยากได้อะไรหรือไม่ แม่จะซื้อมาให้”
“ไม่ครับ แม่ซื้อมาให้น้องเถอะ ผมค่อยแบ่งกับน้อง”
หลี่รุ่ยเฉินตอบกลับ ตัวเขานั้นไม่ต้องการอะไร หากแม่ซื้อลูก¬อมมา¬ให้น้องจริง เด็กน้อยคิดว่าตนเองนั้นค่อยแบ่งกับน้องสาวเอาก็ได้ แม่จะได้ไม่สิ้นเปลืองเงินด้วย
“ตกลง เดี๋ยวแม่จะซื้อขนมและลูกอมมาให้ จริงสิ พรุ่งนี้แถวหมู่บ้านข้าง ๆ มีตลาดนัด ไว้แม่ค่อยพาไปเที่ยวนะ”
พอเห็นว่าลูกทั้งสองไม่ต้องการอะไรมากนักนอกจากลูกอม หญิง¬สาวจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แถมยังให้สัญญาอีกว่า พรุ่งนี้จะพาลูก¬ทั้ง¬สองไปเที่ยวตลาดนัด
พอรู้ว่าแม่จะพาไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ทำให้สองแฝดดีใจมาก ใบหน้าของทั้งสองฉายแววความตื่นเต้นออกมาจนแทบจะปิดไม่มิด
“จริงนะคะ / จริงเหรอครับ”
“ใช่แล้ว แต่เวลานี้ลูกทั้งสองกินมื้อเที่ยงก่อนที่มันจะเย็น”
“ครับ / ค่ะ”
จากนั้นสองพี่น้องจึงกินข้าวผัดที่แม่ทำให้อย่างเอร็ดอร่อย
ปกติแล้ว โจวเพ่ยชิงใช่ว่าจะทำอาหารเป็น แต่เพราะในมิติมีตำราอาหาร นี่จึงทำให้เธอทำอาหารได้อย่างที่ต้องการ อีกทั้งยังมีอาหารหลายเชื้อชาติมาก การทำอาหารจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ
หลังจากมองดูลูกทั้งสองกินอาหารเสร็จแล้ว โจวเพ่ยชิงไม่-อยากให้ลูกทั้งสองอยู่บ้านเพียงลำพัง จึงเอ่ยขึ้นเพื่อจะให้ลูกไปอยู่บ้านโจวก่อน “ลูกจะไปอยู่บ้านตายายก่อนไหม แม่จะไปส่ง”
“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ตากับยายและทุกคนไปทำงาน ผมกับน้องอยู่ได้ครับ” ทว่าเด็กน้อยส่ายหน้าและปฏิเสธ
แม้เขาจะสี่ขวบกว่า แต่ก็พอจะดูแลตัวเองและน้องสาวฝา-แฝดได้¬แล้ว การที่แม่จะเข้าเมืองจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับทั้งสองคนที่อยู่บ้านกันเอง
“อย่างนั้นลูกทั้งสองล็อกประตูรั้วให้ดีนะ แม่จะรีบกลับมา”
โจวเพ่ยชิงเมื่อเห็นว่าลูกทั้งสองเลือกที่จะอยู่บ้านกันเอง ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่เพราะนี่ยังกลางวันและบ้านพ่อแม่ก็อยู่ไม่ไกลเท่าไร จึงคลายความกังวลลงบ้าง
“ครับ / ค่ะ”
หลังจากบอกกล่าวลูกเรียบร้อยแล้ว โจวเพ่ยชิงจึงเดินออกมาจากบ้านเพื่อขึ้นเกวียนให้ทันรอบบ่าย แต่ก่อนจะออกจากบ้าน เธอเอาผ้าลาย¬ลูกไม้สีชมพูอ่อนออกมาจากมิติ เพื่อปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ เพราะกลัวชาวบ้านและคนทั่วไปจะตกใจกับแผล-ตรงใบหน้าตนเอง
ในระหว่างที่เดินไปขึ้นเกวียน มีชาวบ้านไม่น้อยต่างเมียงมองและซุบซิบมายังเธอ ทว่าโจวเพ่ยชิงกลับไม่สนใจ ยังคงเดินไปยังจุดหมายของตนเองต่อ
“กล้าเนอะ หน้าผีขนาดนั้นยังกล้าเดินออกมาให้ชาวบ้านกลัวอีก” ลู่เสี่ยวเหมยพูดจาถากถาง เมื่อเห็นโจวเพ่ยชิงเดินมา