บทที่ 16 คนขี่สามล้อ
“คนห่วงไอ้ปิ่นมานั่นแล้ว งานนี้สารวัตรกูมีเมียแน่”
“สารวัตรชอบไอ้ปิ่นหรือครับพี่” ชุมพลถามสีหน้าฉงน
“ดูเอาเอง” อัศนีตอบเสียงเบา
“ปิ่นเป็นอะไรพล ทำไมเป็นแบบนี้” พีรวัสทรุดนั่งบนเตียงข้างร่างหญิงสาว วีรชนยืนข้างบุรี ชุมพลคุกเข่าข้างเตียงเตรียมป้อนยาหอมให้เพื่อน เขาสังเกตกิริยาร้อนรน ใบหน้าเคร่งเครียดของสารวัตร คำว่า ดูเอาเอง ของอัศนี กระจ่างชัดในสายตาตอนนี้เอง
“ไม่รู้ครับ อยู่ ๆ ก็ฟุบไปเลย ถามพี่ ๆ เขาดูสิ” ชุมพลตอบตามจริง
“ใช่ จะว่าหิวข้าวมากก็ไม่น่าใช่ พลบอกว่าไม่เคยเป็นลม”
อัศนีตอบแทนทุกคน ปิ่นแก้วเงียบเสียงก็ฟุบลงกับตักชุมพล อัศนีดึงขึ้นมาพิงไหล่เขา หล่อนก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว วีรชนนั่งบนเตียงไม้คนละด้านกับปิ่นแก้วนอนอยู่
“มันตกใจอะไรหรือเปล่าพี่โอ๊ก พล”
“ไม่มีอะไรนี่ ขับมาเรื่อย ๆ คุยเรื่องคุณไฉไลเมียเสี่ยใหม่ มันบอกคุณไฉไลน่าสงสัย คดีเสี่ยก้องถูกฆ่า พี่เขาชวนเข้ากลุ่มสายสืบ มันก็จะเข้าด้วย อยู่ ๆ ก็ฟุบ คิดว่ามันล้อเล่นที่ไหนได้เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ลืมตา”
“พี่ให้ไอ้บุขับรถเลยจุดนัดมาที่นี่ ปลอดภัยกว่า พวกมันตามมาหรือเปล่าวี”
อัศนีหันกลับมาสนใจเรื่องงานแต่พีรวัสไม่สน เขาขอผ้าชุบน้ำจากชุมพลมาเช็ดหน้าให้ปิ่นแก้ว วีรชนจึงเงียบไม่ตอบคำถามอัศนี เวลานี้พีรวัสไม่พร้อมคุยเรื่องงาน ทุกสายตาของหนุ่ม ๆ จับนิ่งกับการกระทำของสารวัตร ไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมและจริงจังกับงานจะมีกิริยาอ่อนโยนกับหญิงสาวจอมแกร่งได้น่ามองเช่นนี้
“วิน บุ ทำกับข้าวกันดีกว่า หิวแล้วว่ะเมื่อกี้ลืมสั่งมากินที่บ้าน”
“ไม่ต้องทำหรอกพี่ ผมสั่งมาแล้ว พลไปช่วยฉันหิ้วหน่อย”
วีรชนเรียกหาคนช่วยถืออาหารกลางวัน ชุมพลตามวีรชนออกไปเงียบ ๆ อัศนี บุรีและนาวินเข้าครัวเตรียมถ้วยชามใส่อาหารมื้อกลางวัน
พีรวัสเป็นห่วงปิ่นแก้วมากขึ้นทุกวันด้วยสาเหตุใดนั้นเขาตอบตัวเองไม่ได้ ครั้งแรกที่พบหล่อนไม่ชอบเพราะหล่อนทำตัวขวางโลก ดื้อรั้น โต้เถียงไม่รับฟังเหตุผลบางเวลาและหล่อนทำตัวเป็นทอมบอย ไม่น่ารักเช่นหญิงสาวทั่ว ๆ ไป ไม่อ่อนโยนทั้งกริยาและคำพูดบางคำ เขาเชื่อ หากมีคนบอกว่าหล่อนเป็นทอม
แต่เมื่อได้พูดคุยเรื่องงานและอยู่ตามลำพังกับหล่อนหลายครั้งหลายหน ความน่ารักของหล่อนก็เปิดเผยออกมาตามธรรมชาติ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าชอบหญิงห้าวคนนี้ เป็นห่วงหล่อนมากในวันถูกลอบยิงนั่นเอง
“ปิ่น ตื่นสิ ลืมตามาคุยกันก่อน หิวมากรึไงถึงเป็นลมไปแบบนี้ ตื่นมาสิปิ่นแก้ว ตื่น ฉันบอกให้ตื่นไง ตื่นสิปิ่น ปิ่น ปิ่นแก้ว ตื่นมาฟังฉันพูดเดี๋ยวนี้ ตื่นสิปิ่น ปิ่น ปิ่นแก้ว ปิ่นแก้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับหรือสัญญาณของคนรู้สึกตัวตอบกลับมา ชายหนุ่มเริ่มกังวล หล่อนเป็นอะไรกันแน่
“พี่วัส ตามหมอภัคมั้ยครับ ให้มาตรวจไอ้ปิ่นที่นี่”
วีรชนกลับเข้ามาได้ยินพีรวัสพูดกับเพื่อนของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพีรวัสชอบปิ่นแก้วเป็นห่วงมากที่สุดในขณะนี้
“ไม่ได้ คนนอกห้ามรู้ที่อยู่ของพวกเรา ปิ่นแก้วกับชุมพล สองคนนี้แค่นั้นที่เราให้เข้ามาเห็นแต่ห้ามเข้ามาตามลำพัง เข้าใจนะพล”
อัศนีแย้งความคิดของวีรชน สถานที่แห่งนี้เป็นความลับของสายสืบกลุ่มนี้ ปิ่นแก้วกับชุมพลเข้ามาเห็นและรับรู้เพราะปิ่นแก้วหมดสติ มันเป็นเหตุสุดวิสัยและทีมสายสืบเชื่อมั่นว่าชุมพลกับปิ่นแก้วจะเป็นนักข่าวที่ซื่อสัตย์และรักษาสัญญา
“ใช่วี เราต้องปิดบังที่นี่ไว้จนกว่าภารกิจของเราจะเสร็จสิ้น พล พวกพี่ไว้ใจแก ถ้าแกบอกคนอื่น พวกเราจะไม่ปลอดภัยโดยเฉพาะจากกลุ่มของหมวดสรสิช”
นาวินเน้นความปลอดภัยกับวีรชนและชุมพล คนรับรู้บ้านริมธารมี 7 คนเท่านั้นในความหมายของนาวินซึ่งชุมพลเข้าใจภารกิจของสายสืบและนายตำรวจกลุ่มนี้ดีว่าต้องการความปลอดภัยมากแค่ไหน เขาจะช่วยตำรวจตามหาตัวคนร้ายให้เปิดเผยโฉมหน้าออกมารับโทษโดยเร็วที่สุด
“ผมจะเข้าร่วมภารกิจกับพี่ ๆ ด้วย ผมสัญญา ที่นี่จะเป็นความลับต่อไป”
“ขอบใจมาก พี่ชื่ออัศนี เรียกพี่โอ๊กตามหมวดวีก็ได้ นั่นนาวิน ไอ้วิน ร้อยตำรวจโทนาวิน แล้วก็นั่นบุรี ไอ้บุ ร้อยตำรวจตรีบุรี ยายปิ่นตื่นมาฟังพี่แนะนำตัวได้แล้ว”
จบคำพูดของอัศนี ปิ่นแก้วลืมตามองหน้าพีรวัส เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มยินดี ดีใจปนอยู่รวมกัน อัศนีเองไม่อยากเชื่อว่า คำพูดเล่นของเขาจะปลุกปิ่นแก้วตื่นได้ วีรชนหัวเราะเสียงดัง ชุมพลก็เช่นเดียวกัน เพื่อนของพวกเขาปลอดภัยจากอะไรไม่รู้ เขาไม่อยากสนใจนอกจากให้เพื่อนตื่นมาพูด มาหัวเราะ มาด่าพวกเขาเท่านั้นที่พวกเขาต้องการ
“เป็นอะไรของมึงวะไอ้ปิ่น อยู่ ๆ หมดสติไปแบบนี้ รู้มั้ยพี่วัสขับรถเหมือนจะเหาะมาที่นี่ ใจมาอยู่กับแกตั้งแต่พี่โอ๊กโทร.บอกแล้ว”
วีรชนตบแขนเพื่อนสาวเต็มแรง หล่อนนิ่วหน้าไม่ใช่แกล้งเจ็บแต่เจ็บจริง ๆ แม้จะหลับแต่หูได้ยินอัศนีแนะนำตัวกับชุมพล หล่อนลืมโกรธวีรชนตีแขนหล่อนเจ็บ สายสืบสามหนุ่มน่าสนใจกว่าความโกรธ
“พี่โอ๊ก ยศอะไรคะ เท่าสารวัตรหรือเปล่า”
“ถามแบบนี้แสดงว่าไม่เป็นอะไรมากนี่นา แล้วเป็นลมเพราะอะไร ตอบมาก่อน”
“ไม่รู้ค่ะ อยู่ ๆ มันวิ้ง ๆ แล้วก็ไม่รู้ตัวเลย”
หญิงสาวคิดถึงอาการของตัวเองก่อนหมดสติ ใบหน้าฉงนสนเท่ห์ของหล่อนอยู่ในสายตาชายหนุ่มทั้ง 6 คน อัศนีสังเกตเห็นความไม่เข้าใจอะไรบางอย่างในดวงตาคู่สวยของปิ่นแก้ว
“พี่ยศร้อยตำรวจเอก น้อยกว่าสารวัตร แก่กว่าสารวัตรสี่ปี ไม่แน่ถ้างานนี้เสร็จพี่อาจเลยสารวัตรก็ได้ ทีนี้พี่จะถามแกอีกคำ วิ้งอย่างเดียวหรือหิวข้าว”
“ไม่รู้ค่ะ แต่หนูเห็นรถสามล้อถีบ คนถีบใส่หมวกสานปิดหน้าครึ่งหนึ่ง ไม่เห็นหน้าชัด เขามองหนู รถสามล้อคันนี้หนูเคยเห็น”
ปิ่นแก้วเห็นอย่างไรบอกอัศนีไปอย่างนั้น สิ่งที่เห็นหมายถึงอะไร หล่อนยังงง ทำไมอยู่ ๆ จึงเห็นคนขี่สามล้อและเขามองจ้องหล่อนจนรถเลยไปก็ยังมองเหลียวหลัง สมองทำงานรวดเร็วแต่ตีความการมองของผู้ชายคนนั้นไม่ออก
“สามล้อถีบในเมืองใช่หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะพี่”
ไม่มีใครพูดอะไร นายตำรวจ 5 นายคิดถึงคิวสามล้อถีบในเมืองตรงกัน สามล้อมีทั้งหมด 10 คัน ลักษณะบุคคลตามคำบอกเล่าของปิ่นแก้วมีอยู่ 3 คน สวมหมวกสานทำจากไม้ไผ่ทั้ง 3 คน คนไหนล่ะที่ปิ่นแก้วเห็น
“มีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีนายก้องเกียรติหรือเปล่า ก่อนไอ้ปิ่นจะเป็นลมกำลังพูดถึงคดีนี้”
ชุมพลเอ่ยออกมาเป็นคนแรก หลังจากเงียบไปหลายวินาที นายตำรวจสบตากัน พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องสามล้อถีบมาก่อน
ประชาชนคนธรรมดา หาเช้ากินค่ำ ขี่สามล้อหาเลี้ยงชีพ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ตำรวจสรุปง่าย ๆ เพียงแค่นั้น นาทีนี้ คำพูดของชุมพลเป็นประเด็นน่าสนใจและเป็นการก่อกองไฟกองใหม่ให้ลุกสว่างเพื่อใช้แสงสว่างนั้นค้นหาของบางอย่าง แสงจากกองไฟกองนี้ อาจนำไปพบของที่กำลังค้นหากันอยู่ก็ได้