ตอนที่ 1 แตกสลายและก่อเกิดใหม่
ฝนแก้วนั่งคุดคู้อยู่ตรงประตูระเบียงห้อง ข้างตัวนั้นมีโทรศัพท์มือถือวางอยู่ เธอเพิ่งเปิดเครื่องหลังจากปิดมาหลายวัน
เมื่อไม่พาตัวเองออกไปจากห้องพักและไม่ติดต่อใคร ฝนแก้วจึงตระหนักได้ว่าแม้ตัวเธออยู่กลางเมืองใหญ่ แต่กลับเหมือนไร้ผู้คนที่อยู่รอบตัว คล้ายกับเธอใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง เมื่อไม่ออกไปพบใคร เธอก็ไม่มีใครมาหาเช่นกัน
แม้แต่เขาคนนั้น คนที่บอกเลิกเธอไปเมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งก่อนที่เขาจะจากไป เขายังบอกไม่ให้เธอติดต่อไปหาเขาอีก
ในวันนั้นฝนแก้วรับฟังเขาพูดอย่างสงบ แลคล้ายเธอรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อกลับมาถึงห้องพัก เธอกลับร้องไห้ฟูมฟาย และไม่ใช่แค่วันเดียว เธออยู่กับอาการอกหักเหมือนจะเป็นจะตายอยู่นานนับสัปดาห์ งานการแทบไม่ได้ทำ เธอนั่งใจลอยและไม่มีสมาธิ จนถูกตำหนิหลายครั้ง ซึ่งหัวหน้างานมองปราดเดียวก็รู้ว่าเธออกหัก...หรือจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือเธอถูกผู้ชายทิ้ง
‘แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานให้ได้ จำไว้ว่าถึงไม่มีผู้ชาย คนอย่างเราๆ ก็ไม่มีวันตาย แต่ถ้าเมื่อไรที่ไม่มีงานให้ทำ เราต้องอดตายคาห้องพักอย่างแน่นอน’
หัวหน้างานสาวใหญ่พูดให้สติ ซึ่งคำพูดนี้กระมังที่ดึงฝนแก้วให้กลับมาสู่โลกความจริง โลกที่คงไม่มีพื้นที่ให้คนอ่อนแอจริงๆ โลกที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอก็ต้องเดินต่อไปให้ได้เท่านั้น
‘ถ้าฝนไม่ลุกขึ้นมายืนใหม่ ฝนก็แค่หายไปจากโลกใบนี้ แล้วจะไม่มีใครนึกถึงฝน ไม่มีใครจดจำฝน คำพูดของพี่อาจทำร้ายจิตใจฝน พี่รู้ว่าสภาพจิตใจของฝนยังอ่อนแอ แต่ทั้งหมดนี้มันคือความจริง’
เพียงแค่วันรุ่งขึ้น ฝนแก้วก็ดึงตัวเองให้พ้นจากความเศร้า มันไม่ได้หายไป เธอเพียงแค่กดและเก็บมันไว้เท่านั้น
ฝนแก้วรู้ว่าตัวเองกำลังดีวันดีคืน หัวหน้างานพอใจ เธอรับรู้หลังจากนั้นไม่กี่วันว่าเธอถูกเจ้านายใหญ่เพ่งเล็ง หากเธอเผลอจมอยู่กับความเศร้านานเกินไป เธออาจต้องยุติการทำงาน
‘ฝนขอโทษที่ทำให้เสียงานค่ะ ฝนแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานไม่ได้จริงๆ’
‘ให้มันเป็นบทเรียนกับตัวเองแค่ครั้งเดียวก็พอนะ ผ่านครั้งนี้ไปได้ ฝนจะแข็งแรงขึ้น พลาดเรื่องความรักไปแล้ว จำไว้ว่าอย่าพลาดเรื่องงานอีก ไม่อย่างนั้นชีวิตเราจะพังตามไปด้วย’
ฝนแก้วใช้เวลาตลอดช่วงหน้าฝนเพื่อเยียวยาตัวเอง หลังเลิกงานเธอตรงดิ่งกลับห้องพัก นั่งมองสายฝนจากระเบียงห้อง เธอเลิกร้องไห้ฟูมฟาย เลิกคร่ำครวญถึงเขา เก็บความเศร้าไว้ข้างในจนลึกสุดใจ
ช่วงเวลานั้นเธอสังเกตเห็นความผิดปกติของร่างกาย ระยะหลังคำค้นในอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือจึงมักเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง
ประจำเดือนไม่มา สาเหตุมาจากอะไรบ้าง
วูบบ่อย เกิดจากความเครียดได้ไหม
ไม่หิว ไม่อยากกิน เป็นอาการของโรคซึมเศร้าหรือเปล่า
คำค้นซ้ำๆ พร้อมกับความผิดปกติของร่างกายที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันฝนแก้วก็ยิ่งหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเป็น กระทั่งช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ผ่านมา จู่ๆ เธอก็เป็นลมวูบลง
‘ฝนเป็นอะไร’
‘เฮ้ย! ฝนเป็นลม’
เสี้ยววินาทีนั้นฝนแก้วยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเสียงของเพื่อนร่วมงานแทรกเข้ามา เธอถึงได้รู้ตัวเอง จากนั้นเธอก็หมดสติแบบภาพตัด กระทั่งฟื้นขึ้นมาในคลินิกตรงหน้าปากซอยของออฟฟิศในช่วงเย็น
‘น้องจะตรวจร่างกายไหม คุณหมอแนะนำให้ตรวจนะ’
ผู้ช่วยพยาบาลที่ทำงานในคลินิกแห่งนั้นถามขึ้น ฝนแก้วไม่รู้จักเธอคนนี้หรอก แต่เคยเห็นผ่านตาในร้านอาหารตามสั่งในช่วงพักเที่ยงอยู่หลายครั้ง มันจึงทำให้เธอวางใจ ด้วยอยากมีใครสักคนให้พึ่งพิงในห้วงเวลานี้
‘แพงไหมคะ’
‘ไม่แพง หมอให้มาถามความสมัครใจเพราะเป็นห่วงน่ะ คนที่พามาส่งบอกว่าจู่ๆ น้องก็หมดสติไป รอนานก็ไม่ฟื้น เลยช่วยกันหามน้องใส่รถแล้วพามาส่งที่นี่’
วังเวงหัวใจอย่างประหลาด...ฝนแก้วกำมือแน่น แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ช่วยพยาบาลด้วยแววตาสับสน เธอตัดสินใจไม่ได้
‘ตรวจให้รู้ว่าเป็นอะไร น้องจะได้รักษาตัวเอง หรือถ้าไม่ได้เป็นอะไร แค่นอนน้อย เราก็จะได้สบายใจ’
คำพูดตรงๆ ง่ายๆ พร้อมกับแววตาที่บอกว่าเข้าใจจากคนที่ไม่รู้จักชื่อและไม่เคยพูดคุยด้วยนั้นทำให้ฝนแก้วพยักหน้ายอมรับ...มันสุดทางที่เธอจะยื้อแล้ว
‘คุณกำลังตั้งครรภ์’
ประโยคจากหมอประจำคลินิกยังดังวิ้งๆ อยู่ในหัว หลังจากเธอตรวจร่างกายและผู้ช่วยพยาบาลให้เธอเข้าไปพบหมอในห้องตรวจอีกครั้ง หมอสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เธอตอบไปเหมือนหุ่นยนต์ วินาทีนั้นมันไร้ความรู้สึก
ประหลาดนัก...เมื่อต้องรับรู้ถึงสิ่งที่กลัวมาตลอดว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว ฝนแก้วกลับยอมรับความจริงได้อย่างสงบ เธอไม่ตกใจและไม่ฟูมฟาย
‘หมอแนะนำให้คุณไปฝากท้องที่โรงพยาบาล อยู่ในการดูแลของหมอเข้าไว้ เด็กจะได้แข็งแรงและปลอดภัย’
กระดาษแสดงผลการตรวจร่างกายจากคลินิกยังอยู่ในกระเป๋าสะพายมาตั้งแต่วันจันทร์ ฝนแก้วไม่ได้แตะมันอีกเลย
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือมาดู...วันนี้เป็นวันศุกร์แล้ว เห็นมิสคอลของหัวหน้างานที่โทร.มาสองครั้ง เธอตัดขาดการสื่อสารมาสี่วันเต็มๆ พร้อมกับที่ไม่ได้ออกจากห้องพัก
“หกโมงเย็น...เลิกงานแล้ว”
ให้ตายเถอะ! ฝนแก้วกลับรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่ามันเลยเวลางาน ป่านนี้หัวหน้างานคงกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวแล้ว เธอถอนหายใจ เหมือนได้ทดเวลาตายไปอีกสองวัน
วันจันทร์ค่อยโทร.กลับก็แล้วกัน
ลางสังหรณ์สะกิดบอกว่ารอบนี้คงมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานเกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน
นกพิราบสองตัวบินมาเกาะราวระเบียง เธอไม่ได้ไล่มันเหมือนที่ผ่านมา เธอกระตุกยิ้มทั้งที่ไม่มีอะไรให้ขัน นกพิราบคู่นี้ถือเป็นสิ่งมีชีวิตสองตัวแรกที่เธอได้พบเจอในรอบหลายวันที่หมกตัวอยู่ในห้อง
ฝนแก้วไม่ได้ไปทำงาน ตลอดสี่วันเธอนอนซมอยู่บนเตียงนอน ลุกขึ้นจากเตียงนอนเมื่อท้องหิวและเข้าห้องน้ำเท่านั้น เธอไม่ได้ร้องไห้และเธอก็ไม่ได้คิดมากจนไมเกรนขึ้นเหมือนคราวก่อนด้วย
เธอกำลังอยู่ในสภาวะทิ้งตัว รอบนี้มันเคว้งและว่างเปล่าไปหมดแล้วจริงๆ
เมื่อคิดจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เสียงข้อความเข้าในแอปพลิเคชันไลน์ก็ดังขึ้น เมื่อเปิดดูแล้วจึงเห็นว่าหัวหน้างานส่งข้อความมาหาเธอ
เจ้านายสั่งให้ฝนหยุดทำงาน วันจันทร์มาเก็บของได้ พี่เคลียร์ของบนโต๊ะทำงานใส่กล่องไว้ให้แล้ว
หัวใจหวิวๆ ฝนแก้วอ่านข้อความทวนซ้ำหลายรอบ หากบอกตัวเองไปด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเธอทำตัวเองทั้งนั้น
บลูมันเดย์...หัวใจของฝนแก้วเป็นสีหม่น
เธอเข้าออฟฟิศเพื่อมาเก็บของส่วนตัว ยกมือไหว้ลาหัวหน้างานที่มีสีหน้าอิหลักอิเหลื่ออย่างเห็นได้ชัด เมื่อเธอถามว่าควรขึ้นไปลาเจ้านายซึ่งอยู่ในห้องทำงานที่ชั้นบนดีไหม หัวหน้าก็รีบบอกเธอว่าไม่ต้องขึ้นไป ซึ่งฝนแก้วเข้าใจได้ดี...ไม่มีพื้นที่ให้คนอ่อนแอและไม่ยอมลุกขึ้นสู้จริงๆ
“ขอให้โชคดีนะ”
คำลาสั้นๆ จากหัวหน้างาน แม้เจ้าของคำพูดแทบไม่สบตาเธอ แต่เธอก็ถือเป็นคำอวยพรชั้นดี เธอบอกลาเพื่อนร่วมงานอีกสี่คนที่นั่งทำงานด้วยกันมาเกือบหนึ่งปีในออฟฟิศเล็กๆ แห่งนี้ คนเหล่านั้นยิ้มให้และบอกลาเธอ
ฝนแก้วเดินผ่านคลินิกหน้าปากซอย เธอหันไปมองด้วยความรู้สึกอยากบอกลา หากประตูคลินิกก็เปิดออกมาพอดี
“น้องรีบกลับหรือเปล่า พอจะมีเวลาคุยกันไหม”
“มีค่ะ”
ยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นผู้ช่วยพยาบาลคนเดิมทักถาม หากในช่วงเวลาที่คนทั้งโลกหันหน้าหนี ไม่มีแม้คนที่อยากพูดคุยและสบตากับเธอ เมื่อมีใครสักคนเดินเข้ามาพูดคุยด้วย แล้วทำไมเธอจะไม่ตอบรับล่ะ