บทที่๗...ความสุขแสนเศร้า (๒)
หลังเสร็จงานถ่ายโฆษณาดาราสาวก็กลับมาทำหน้าที่พิธีกร เธออัดรายการไว้ซึ่งจะฉายสัปดาห์ล่ะหนึ่งตอน งานค่อนข้างสบายแต่ต้องอ่านรายละเอียดมาก่อน และมีไหวพริบในการพูดคุย หล่อนมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรายการนี้
หลังจากทำงานเสร็จก็ซื้ออาหารแล้วขับรถไปยังบ้านของข้ามภพ โทรหาอีกฝ่ายก็ไม่รับคาดว่าคงอยู่ในสตูดิโอ ยุ่งกับงานจนลืมกินข้าวเป็นแน่ ที่รู้เพราะชินกับนิสัยของเขาแล้ว หากได้อยู่หน้าคอมใครเรียกก็ไม่ได้ยินหรอก
แต่เห็นช่วงนี้เขากลับมาอินกับการวาดภาพอีกครั้ง คลุกอยู่สตูดิโอทั้งวันทั้งคืนจนได้ภาพที่พึงพอใจ โพสลงอินสตราแกรมเพียงไม่นานก็มีคนมาขอซื้อ ทว่าช่างภาพมากฝีมือไม่ขาย วาดเพื่อเก็บไว้เท่านั้น
มาถึงบ้านหลังงามแสนอบอุ่นก็เปิดประตูรั้วเข้าไปเอง หล่อนได้รับอนุญาตจากเขาแล้วจึงไม่ต้องกังวลว่าจะโดนดุ จอดพาหนะยังโรงรถด้านข้างแล้วถือถุงอาหารเข้าไปภายในบ้าน มองซ้ายขวาเพื่อหาเจ้าของบ้านก็ไร้เงา
คงอยู่ที่สตูดิโอ
ร่างบางนำอาหารไปอุ่นแล้วมาวางไว้บนโต๊ะ จัดเรียงอย่างสวยงามค่อยเดินไปยังสตูดิโอที่อยู่ข้างกัน มีเพียงสนามหญ้ากั้นเอาไว้เท่านั้น
พอเข้ามาด้านในก็เห็นร่างสูงกำลังขะมักเขม้นกับการแต่งภาพ หล่อนจึงไม่อยากรบกวนนั่งมองเขาอย่างนั้นไปเรื่อย จนกระทั่งงานเสร็จแล้วชายหนุ่มบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า หันมาสบดวงตากลมที่จ้องมาพอดี
“มานานแล้วเหรอ” ไม่ได้ตกใจอาจเพราะชินแล้ว บางครั้งที่ทำงานจนลืมเวลาก็มักเห็นนับดาวเอาอาหารมาส่ง
“อือ กินข้าวเที่ยงหรือยัง ฉันอุ่นข้าวไว้ไปกินกันเถอะ” ข้ามภพหันไปมองนาฬิกาที่ติดฝาผนัง เห็นว่าหกโมงเย็นแล้ว ไม่คิดว่าตนเองจะนั่งทำงานเพลินจนลืมเวลา เขาลุกยืนแล้วเดินเคียงข้างหล่อนไปยังบ้านหลังงาม
ก้าวไปยังห้องครัวเห็นอาหารวางไว้เต็มโต๊ะก็เริ่มหิว เข้าไปล้างมือเรียบร้อยจึงมานั่งประจำที่ ลงมือรับประทานอาหารด้วยความหิว โดยมีดาราสาวนั่งมองแล้วอมยิ้มยามเห็นเขากินอย่างมีความสุข เคี้ยวแก้มตุ้ยเหมือนลูกสาวตัวน้อยไม่มีผิด
“เธอไม่กินเหรอ” เห็นหล่อนกินนิดเดียวเลยถามด้วยความสงสัย ได้รับการส่ายหน้ากลับมา
“ช่วงนี้ฉันไดเอต ไม่ค่อยอยากกินเยอะ” ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กที่ผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูกแล้ว
“กินไปเถอะ กินเยอะเธอก็ไม่อ้วนไปกว่านี้แล้วล่ะ อ่ะ กินกุ้งเยอะๆ” ตักกุ้งที่อยู่ในผัดผักรวมมิตรใส่จานให้หล่อน ร่างบางเห็นดังนั้นก็หลุดยิ้มออกมา
“ขอบคุณ” พึมพำเสียงเบา ใบหน้าคมยิ้มให้ราวเป็นเรื่องปกติแล้วกินในส่วนของตัวเอง ทว่ากลับมีสายเรียกเข้าเสียก่อนจึงละมือจากอาหารตรงหน้า
ดวงตากลมเหลือบมองเห็นเป็นชื่อของพรณัชชาก็ชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก หล่อนอยากรู้ว่าฝ่ายนั้นโทรมาด้วยธุระอะไร พยายามเงียบแล้วเอียงหูฟังให้ได้มากที่สุด
“ฮัลโหล” โทนเสียงทุ้มที่กล่าวกับปลายสายทำให้หล่อนรู้สึกอิจฉา แต่ก็ก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมองเขา
“อะไรนะ แล้วเธออยู่ไหน โอเคฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” วางสายแล้วรีบดื่มน้ำอึกใหญ่ ใส่โทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วบอกคนตรงข้ามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ฉันไปหาหมิงก่อนนะ เธอกินข้าวไปเลย จะนอนที่นี่หรือกลับก็ได้ตามใจ” พูดจบก็เดินแกมวิ่งออกไปข้างนอก หยิบกุญแจรถที่อยู่ตู้ด้านหน้าแล้วขับรถซีดานออกจากบ้าน ปล่อยให้นับดาวมองตามแล้วหลุบตาต่ำมองพื้น
หล่อนหันมากวาดสายตาไปที่อาหารซึ่งพร่องไปกว่าครึ่ง ถ้ารอต้องใช้เวลานานแค่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่
คิดแล้วก็วางช้อนส้อม หยิบน้ำขึ้นมาดื่มก่อนเทอาหารทั้งหมดใส่จานใบใหญ่ คิดว่าถ้าได้ออกไปหาพรณัชชา ข้ามภพคงไม่กลับมาเร็ว อีกฝ่ายมีเรื่องอะไรหล่อนก็ไม่ทราบ แต่ที่อยากรู้ทำไมไม่โทรหาสามีตนเอง มายุ่งกับผู้ชายของคนอื่นทำไม
ไม่รู้เลยเหรอว่าเขาคิดไม่ซื่อ
ถอนหายใจเสียงดังแล้วหยิบจานไปหน้าบ้าน หล่อนมองหาสุนัขจรจัดแถวนั้นก่อนจะเห็นมันวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ดาราสาวจึงได้เทอาหารใส่จานที่วางไว้ด้านหน้าให้เจ้าด่างได้กิน
ข้ามภพมักให้อาหารมันเสมอแต่ไม่นำมาเลี้ยงเพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลาให้มัน หล่อนเองจึงได้เอ็นดูสุนัขตัวนี้ไปด้วย มักนำอาหารที่เหลือหรืออาหารเม็ดมาเทหน้าบ้าน มันก็แสนรู้เสียเหลือเกินแค่ได้ยินเสียงปรบมือหรือรั้วเลื่อนออกก็วิ่งมาแล้ว
“กินให้หมดเลยนะ เจ้าของบ้านนี้เขาไม่มากินแล้วล่ะ” มองดูเจ้าสี่ขากินอย่างเอร็ดอร่อยก็บอกเสียงหม่น หล่อนลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้าบ้านแล้วปิดประตูให้เรียบร้อย ค่อยขับรถยนต์ของตนเองเพื่อกลับคอนโด ไม่อยู่รอเพราะคิดว่าอย่างไรข้ามภพก็คงไม่กลับมา
บางทีควรพอกับความสัมพันธ์นี้ได้แล้ว
หรือจะบอกความจริงให้จบ ตัดสินใจไปเลยว่าจะเดินหน้าต่อหรือพอแค่นี้ หล่อนควรเด็ดขาดได้แล้วไม่ใช่เล่นกับความรู้สึกของตัวเองไปวันๆ จะทนเจ็บเพื่ออะไร ยื้อเวลาทำไม
นับดาวตัดสินใจว่าจะบอกความจริงเรื่องลูกกับเขาสักที หลังจากปิดบังมานานกว่าสามปี
“ดาดา หนูอยากได้คุณบาร์บี้” วันว่างของนับดาวก็เลือกจะพาบุตรสาวมาเดินห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน สวมหน้ากากอนามัยเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตของผู้คน จับจูงมือเล็กเอาไว้แล้วพากันเดินเข้าร้านของเล่นสำหรับเด็ก
ดวงตากลมแสนใสซื่อเงยหน้ามามองคนตัวโตกว่า แล้วทำหน้าอ้อนชนิดที่เธอไม่อาจต้านทานได้ จำยอมพยักหน้าให้บุตรสาว
“ก็ได้” หนูน้อยกระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ รีบวิ่งเข้าไปเลือกตุ๊กตาบาร์บี้ที่ตนเองชอบ ใช้เวลาคิดนานพอสมควรก็เลือกไม่ได้สักที
“หนูจะเอาตัวไหนคะ” ร่างบางย่อตัวลงมาให้ระดับสายตาเท่ากัน หันมาถามเด็กหญิงลัดฟ้าที่ทำท่าทางคิดไม่ตกก็แอบอมยิ้ม อยู่กับลูกไม่เบื่อเลย สามารถนั่งมองเด็กน้อยเล่นได้ทั้งวัน โชคดีที่ลูกสาวเลี้ยงง่ายไม่ค่อยงอแง
ต่างจากเวลาอยู่กับคุณยายทั้งสองที่ชอบงอแงอยากได้นู้นอยากได้นี่เหลือเกิน บางทีเธอก็อยากให้ลูกงอแงกับตัวเองบ้าง
“ทำไมคิดหนักจังเลย ตัวไหนก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” พอพูดแบบนั้นหนูน้อยถึงกับหันมามองพลางส่ายศีรษะทันที
“ไม่เหมือนนะดาดา คุณคนนี้คือคุณราพันเซลผมยาว คุณคนนี้คุณคลาร่า คุณลิอาน่า คุณคอรีน คุณแบล์ คุณเคียร่า" ไล่ได้อย่างฉะฉานเล่นเอาหล่อนถึงกับอึ้ง ต้องปรบมือให้บุตรสาวที่จำได้แม่น ไม่เสียแรงที่ซื้อการ์ตูนบาร์บี้ให้ดูทุกวัน
“เก่งจังเลย เป็นอัจฉริยะหรือเปล่าเนี่ย” ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู แล้วช่วยกันเลือกตุ๊กตาบาร์บี้ก่อนจะตัดสินใจได้ว่าซื้อราพันเซล พร้อมกับชุดเจ้าหญิงให้เปลี่ยนอีกสองตัว และอุปกรณ์เสริมสวยจนเด็กน้อยเดินยิ้มหน้าบานออกจากร้าน
กอดตุ๊กตาที่อยู่ในกล่องแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คิดไว้แล้วว่าจะพานอนด้วย อาบน้ำด้วยกัน แต่งตัวสวยๆ ให้คุณราพันเซล เหมือนมีเพื่อนเป็นเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้น
“กอดเจ้าหญิงราพันเซลขนาดนี้ น้องหมีที่บ้านน้อยใจแย่” แซวคนตัวเล็กที่ดูเหมือนได้ใหม่จะลืมเก่า ทว่าหนูน้อยกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“หนูรักพี่หมีกับคุณราพันเซลเท่ากันนะคะ พี่หมีไม่น้อยใจ” พูดเองเป็นตุเป็นตะ หล่อนเลยตัดสินใจพาหนูน้อยลงไปซื้ออาหารสดที่มินิมาร์ทด้านล่าง วันนี้จะทำหมูกระทะกินที่คอนโด ทว่าของในตู้เย็นหมดหล่อนจึงอาสามาซื้อ แล้วก็มีน้องลัดฟ้าขอมาด้วยเพราะอยากได้ตุ๊กตา
เธอยกลูกขึ้นไปนั่งในรถเข็น แล้วจึงเดินเลือกซื้อของโดยมีหนูน้อยคอยอ้อนว่าอยากกินผลไม้อะไร น้ำอะไรหรือขนมขบเคี้ยวระหว่างดูการ์ตูน
“คุณยายไม่ให้กินไม่ใช่เหรอ” ลูกสาวอ้อนอยากกินเลย์ แต่โดนสั่งห้ามไว้เพราะกินบ่อยแล้วไม่ค่อยชอบแปรงฟันหลังกิน เศษขนมติดตามซอกฟันมาร้องไห้ปวดฟันทีหลังอีก จึงโดนสั่งห้ามให้กินได้แค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น
“ดาดาไม่บอกยายจ๋าก็ไม่รู้หรอก หนูอยากกินจริงๆ นะ ดาดาซื้อให้หนูหน่อยนะ” ทำตาปริบแถมด้วยลูกอ้อน มีหรือที่มารดาจะต้านทานไหว
“ถุงเดียวพอนะ ถุงเล็กแล้วกัน” ได้ยินอย่างนั้นก็ปรบมือดีใจใหญ่ นั่งกอดตุ๊กตาและขนมไว้ด้วยกัน ก่อนจะไปจ่ายเงินแล้วนำของทั้งหมดใส่ถุงผ้า พากันกลับบ้านโดยขึ้นรถยนต์ของนับดาว ตอนแรกว่าจะใช้ขนส่งมวลชนทว่ากลัวมีคนจำได้แล้วขอถ่ายรูป เพราะฉะนั้นรถส่วนตัวคือทางเลือกที่ดีที่สุด
“อ้าว ดาว มาซื้อของเหรอ” ระหว่างที่จะเดินไปลานจอดรถก็เจอกับปิยะเสียก่อน หล่อนพยักหน้าแล้วยิ้มให้เขา
“อือ ว่าจะทำหมูกระทะกินน่ะเลยมาซื้อของ นายล่ะ มาทำอะไร” ปล่อยมือลูกน้อยที่กำลังจับเมื่อเด็กหญิงยกมือมาพนมไว้ตรงหน้าอก พยายามกอดตุ๊กตาบาร์บี้และไหว้พร้อมกันซึ่งดูแล้วลำบากเหลือเกิน
“มาซื้อของ โอ๊ะ ลูกใครน่ารักจังเลย สวัสดีค่ะ อาชื่อปิยะนะ” รับไหว้หลานแล้วแนะนำตัวเอง
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อน้องฟ้า” ฉีกยิ้มกว้างเรียกความเอ็นดูจากผู้กำกับชื่อดัง เห็นแล้วก็อยากมีลูกเสียเดี๋ยวนี้เลย ไม่รู้เมื่อไหร่แฟนสาวจะไฟเขียวยอมแต่งงานกับเขาสักที คบกันมานานยังไม่มีวี่แววจะได้เข้าวิวาห์
“หลานเหรอ น่ารักดีนะ” นับดาวไม่รู้จะพูดอย่างไร น้ำท่วมปากจนสุดท้ายก็ได้แค่พยักหน้า พอจะบอกลาก็มีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมวงสนทนาเสียก่อน
และเป็นคนที่เธอยังไม่พร้อมเจอตอนนี้
“ไอ้ข้ามมาพอดี กูเจอดาวด้วย” ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าหล่อน ก่อนดวงตาคมจะก้มมองเด็กหญิงตัวเล็กที่จ้องคนมาใหม่เช่นกัน เด็กหญิงลัดฟ้ายกมือไหว้เหมือนตอนที่ไหว้ปิยะไม่มีผิดเพี้ยน แถมยิ้มหวานหยดย้อนเรียกความเอ็นดูจากช่างภาพหนุ่ม
“สวัสดีค่ะ” ทุกคนต่างรู้ดีว่าข้ามภพชอบเด็ก เจอที่ไหนเป็นต้องเข้าไปเล่นด้วยถึงนิสัยจะเย็นชาหน่อย แต่พออยู่กับเด็กก็อยู่ในโหมดอ่อนโยนทันที แม้กระทั่งเสียงที่ใช้ก็หวานกว่าปกติ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่ออะไรคะ” คำลงท้ายประโยคทำเอาคนฟังจักจี้หัวใจ รู้ว่าเขาใช้กับลูกแต่หล่อนก็อดเขินจนหน้าแดงไม่ได้
ชายหนุ่มย่อตัวลงไปนั่งตรงหน้าเด็กหญิงลัดฟ้า เพื่อสายตาจะได้อยู่ในระดับเดียวกัน มองคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดู
“หนูชื่อลัดฟ้าค่ะ คุณลุงชื่ออะไรคะ” ปิยะได้ยินก็แอบหลุดขำ ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนจะถูกเรียกว่าลุงทั้งที่อายุยังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่แปลกหรอกหน้าไปก่อนอายุเสียอีก ดวงตาคมเงยมามองเพื่อนเหมือนกำลังจะแผดเผาจนผู้กำกับต้องเงียบเสียงลง
“คุณอาดีกว่านะ อาชื่อข้ามภพ เรียกว่าอาข้ามก็ได้ค่ะ” นับดาวมองสองพ่อลูกที่เจอกันเป็นครั้งแรกด้วยความรู้สึกผิด รู้ดีว่าเขาเอ็นดูเด็กมากแค่ไหน
ทว่ามันก็คนละกรณีกับการที่ข้ามภพรู้ว่าตนเองมีลูกไม่ใช่เหรอ เขาระวังตัวอยู่เสมอและย้ำกับหล่อนว่ายังไม่พร้อมมีลูก และไม่ต้องการให้พลาดเด็ดขาด
ถ้ารู้ว่ามีลัดฟ้าอีกฝ่ายจะไม่คิดว่าเธอใช้เด็กเป็นข้ออ้างในการจับเขาเหรอ
“ค่ะ อาข้าม” สองพ่อลูกยิ้มให้กัน เล่นเอาคนที่รู้ความจริงทุกอย่างถึงกับพูดไม่ออก หล่อนอยากบอกเสียเดี๋ยวนั้นว่าเด็กคนนี้คือลูกของเขากับตน
เด็กหญิงลัดฟ้ามีพ่อชื่อข้ามภพ...