บทที่๑...เมื่อไม่มีเธอ (๒)
ถึงอยากครอบครองมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้
“อร่อยไหม” มองด้วยแววตาลุ้น ไม่ต่างจากน้องพริกหวานที่จ้องเช่นเดียวกัน อยากรู้ว่าคุณอาชอบหรือเปล่า
“อร่อยดี” สองแม่ลูกยิ้มออกมาทันที ก่อนจะมีสายโทรเข้าเรียกรอยยิ้มจากเจ้าของเครื่อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร และเมื่อหล่อนรับสายพร้อมเรียกด้วยชื่อแสนพิเศษก็ทำให้เขายิ่งอิจฉาชายคนนั้นมากขึ้นกว่าเดิม
“ถึงแล้วเหรอคะที่รัก เดี๋ยวพาลูกลงไปเดี๋ยวนี้เลย โอเคค่ะ” วางสายแล้วเก็บเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋า หันไปมองลูกสาวที่กำลังรับประทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย
“พริกหวานขา คุณพ่อมารอข้างล่างแล้วเรากลับกันดีกว่านะ” คนตัวเล็กเบิกตากว้างพลางยกยิ้มด้วยความดีใจ
“พ่อมาแล้วเหรอคะ ไปหาพ่อ เย้ๆๆๆ” ร้องด้วยความดีใจ วางช้อนอย่างรวดเร็วแล้วเดินมานั่งตักมารดาที่กำลังเก็บของ หล่อนหันมามองเพื่อนสนิทที่มีใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะค่อยแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตา
“กลับก่อนนะ เสียดายไม่ได้อยู่นานกว่านี้ ยินดีต้อนรับกลับประเทศไทยค่ะคุณข้ามภพ” อุ้มลูกสาวลงจากตักแล้วจับจูงมือเดินไปยังประตูหน้าห้อง
“ขอบคุณที่มาเซอร์ไพรส์นะ” เจ้าของห้องเดินตามแล้วบอกด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่คิดว่าหล่อนจะยังให้ความสำคัญกับตนเอง
“ก็นายเป็นเพื่อนสนิทฉันนี่นา ขอโทษที่ไม่ได้เก็บของให้ ฝากด้วยแล้วกัน” ตบบ่าแล้วรีบออกจากห้องเมื่อเด็กหญิงงอแงอยากไปหาบิดา แต่ไม่ลืมหันมาไหว้คุณอาและบอกลา
“คุณอาขาหนูกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ไม่ต้องให้มารดาบอกก็ทำความเคารพผู้ใหญ่ด้วยความอ่อนน้อม จนเขาต้องย่อลงไปวางมือบนศีรษะแล้วยีแผ่วเบา ยิ้มให้เด็กหญิงด้วยความเอ็นดูก่อนจะบอกลาเช่นเดียวกัน
“ไว้มาหาอาใหม่นะคะ” พยักหน้าตอบรับค่อยเดินออกจากคอนโดของเพื่อนมารดา เขามองสองแม่ลูกไปจนลับตาก่อนถอนหายใจเสียงเบา
เมื่ออยู่คนเดียวก็รู้สึกอ้างว้าง ยิ่งมานั่งมองแพนเค้กของโปรดพรณัชชาทำให้ห่อเหี่ยวมากกว่าเดิมเสียอีก ยอมรับว่าที่ไปเรียนต่อเมืองนอก หาประสบการณ์ถ่ายภาพทั้งที่มีรางวัลการันตี ฝีมือเข้าขั้นดีเยี่ยมจนมีหลายคนจองตัวให้ไปทำงาน
ทว่าข้ามภพก็ยังเลือกจะไปต่างประเทศเพื่อหลีกหนีความบอบช้ำทางจิตใจ ไม่กล้าบอกใครหรือปรึกษาเพื่อนด้วยซ้ำ คนที่พอช่วยให้คลายเหงาก็คงมีแค่...
นับดาว
มือหนาเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะตัวเล็ก กำลังจะกดหาคนที่ไม่ได้เจอเนิ่นนานด้วยความลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลบเบอร์หล่อนพร้อมตัดขาดการติดต่อไปแล้ว ค่อยวางเครื่องมือสื่อสารลงข้างกายพลางถอนหายใจ
บางทีความเคยชินมันก็น่ากลัวเหลือเกิน
เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากหนูน้อยวัยสองขวบครึ่ง จากที่กำลังนั่งกินผลไม้อยู่โซนนั่งเล่นกลางห้องก็รีบลุกแล้ววิ่งไปหน้าประตู กอดเข้าที่เอวของคนเป็นแม่ทันทีพลางฉีกยิ้มจนเห็นฟันซี่เล็กเรียงกัน ร่างบางค่อยย่อลงมาให้อยู่ระดับสายตา โอบกอดเด็กน้อยเอาไว้จมอกค่อยผละออกแล้วหอมแก้มนิ่มด้วยความคิดถึง
“คิดถึงดาดา” มือเล็กยกขึ้นจับใบหน้าหวานของคนเป็นแม่ จนหล่อนยิ้มรับด้วยความสุข หลังจากทำงานมาทั้งวันแค่ได้เห็นหน้าเด็กหญิงความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าคนตรงหน้าใช้เวทมนตร์คลายความเมื่อยล้าออกไปได้
“ดาดาก็คิดถึงน้องฟ้าเหมือนกัน ไหนมากอดอีกทีซิ” ว่าพลางกอดจนจมอก ไม่ลืมจักจี้เอวเล็กเล่นเอาได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสดใส ก่อนดิ้นหลุดค่อยวิ่งไปหาคุณยายทั้งสองที่เฝ้ามองด้วยแววตาแห่งความสุข
หล่อนลุกยืนเต็มความสูงแล้วไปถอดรองเท้าที่ห้องเก็บของใต้หลังคาซึ่งอยู่ตรงข้ามประตู คอนโดมิเนียมแห่งนี้เป็นแบบดูเพล็กซ์ (Duplex) มีสองชั้นในหนึ่งห้อง พื้นที่ค่อนข้างกว้าง 61 ตารางเมตร มีสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำค่อนข้างตอบโจทย์พอสมควร
ที่สำคัญคือราคาไม่แพงเพราะซื้อช่วงโปรโมชั่น แถมอยู่ใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวกสบาย เวลาจะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าก็ใช้เวลาไม่นาน
“อ่ะ ดื่มน้ำก่อนลูกกลับมาเหนื่อยๆ” น้ำส้มถูกยื่นมาตรงหน้า หล่อนรับก่อนจะดื่มจนหมดแก้วด้วยความกระหาย
“มีดาดาในนั้นด้วย” พวกเขานั่งอยู่โซนรับแขกซึ่งอยู่กลางห้อง มีโซนครัวบิวท์อินอยู่ข้างหลัง โดยสามารถทำเป็นครัวไทยก็ได้มีที่ดูดควันให้ด้วย ซึ่งส่วนนี้มารดาของหล่อนชอบยิ่งนักเพราะต้องการทำอาหารกินเองมากกว่าไปซื้อสำเร็จรูปจากข้างนอก
จอโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้วถูกเปิดให้เล่น ฉายรายการที่หล่อนเป็นพิธีกรร่วมกับเพื่อนอาชีพเดียวกันอีกสองคน เป็นการสัมภาษณ์คนมีชื่อเสียงในแต่ละสายงาน มานั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับอาชีพเหล่านั้นเพื่อเป็นแรงบันดาลใจกับเด็กได้รู้จักสายงานที่หลากหลาย มากกว่าจำกัดอยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม
“จริงด้วย ทำไมดาดาไปอยู่ในนั้นนะ” หล่อนมองเด็กน้อยที่ทำท่าคิดหนัก
“ดาดาเป็นเพื่อนกับทีวีใช่ไหม ดาดาเลยไปขอทีวีอยู่ด้วย” คำตอบเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสามคน คุณยายที่เอ็นดูหลานสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งรักมากขึ้น
สี่สาวที่อยู่ในห้องแห่งนี้มีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะ หลังจากที่ทนทุกข์อยู่ในบ้านหลังใหญ่แต่หาความจริงใจจากใครไม่ได้สักคน
นับดาว พัทธนันท์ ดาราสาวที่เพิ่งดังเมื่อปีที่แล้วจากการเล่นละครเป็นนางเอกเรื่องแรก หล่อนรับบทรองหรือตัวประกอบมาตลอด ไม่ได้คิดว่าจะโด่งดังจนคนต้องรู้จักขอแค่มีเงินใช้จ่ายก็พอแล้ว ทว่าเหมือนโชคจะเข้าข้าง ไปเตะตาผู้จัดรายหนึ่งจนได้ขึ้นแท่นนางเอกละครหลังข่าว
หลังเรื่องนั้นฉายหล่อนก็โด่งดังเป็นพลุแตกมีพรีเซนเตอร์กว่าสองตัว ทั้งละครที่กำลังถ่ายทำอยู่ในขณะนี้และใกล้จะปิดกล้อง ไหนจะงานพิธีกร งานถ่ายแบบจนมีเงินผ่อนคอนโดใกล้หมดแล้ว ต่อจากนี้ก็จะหาลู่ทางซื้อบ้านเป็นของตัวเอง อยากให้ลูกสาวมีพื้นที่วิ่งเล่นกว้างขวาง ได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวตามที่ตั้งใจเอาไว้
“ดาวกินอะไรมาหรือยัง น้าทำสเต็กปลาแซลม่อนกับสลัดไว้ให้ กินเลยไหม” น้าที่เป็นเพื่อนสนิทของแม่ก็มาอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก หล่อนยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะแม่จะได้ไม่เหงา มีเพื่อนช่วยเลี้ยงหลานและพูดคุยปรับทุกข์
แม่มานีและน้าประนอมเป็นเพื่อนกันมานาน ย้ายมาทำงานที่เมืองหลวงแสนกว้างใหญ่ เป็นคนรับใช้ของบ้านเศรษฐีได้รับเงินเดือนเยอะพอส่งจุนเจือครอบครัวที่ต่างจังหวัด มารดาของหล่อนสวยสะดุดตาทำให้ลูกชายเจ้าของบ้านชอบจนแอบมาข่มเหงในยามวิกาล
ไม่นานท่านก็ท้องแต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากคนบ้านนั้นเพราะพ่อมีภรรยาและลูกชายคนโตเป็นหน้าตาให้แก่วงตระกูลแล้ว แม่มานีจึงเป็นได้แค่เมียรับใช้ให้คนในบ้านนินทาอย่างสนุกปาก
และพวกเธอก็ตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้นเพราะบิดาอย่างท่านลภน ภัทรจารินไล่ออกมา โดยบอกว่าไม่อยากให้เด็กที่กำลังจะเกิดจากคนใจแตกอย่างหล่อนมาเหยียบบ้านอันทรงเกียรติของตนที่เป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน
“หิวพอดีเลยน้านอม อยู่ในตู้เย็นใช่ไหมเดี๋ยวดาวจัดการเอง” ลุกขึ้นแล้วเดินไปจัดการอาหารเย็น หล่อนมานั่งที่โต๊ะอาหารขนาดพอดีซึ่งอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น รับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย ไปกินที่ไหนก็ไม่สู้ฝีมือของแม่กับน้า
อร่อยจนต้องยกนิ้วโป้งให้ตลอดเลย
“ยายจ๊ะ ยายจ๋า หนูง่วงแล้ว” เมื่อมียายสองคนเด็กน้อยจึงเรียกยายมานีว่ายายจ๊ะ และเรียกยายนอมว่ายายจ๋า เป็นคำเรียกแสนน่ารักที่คนฟังยิ้มทุกทีที่ถูกเรียก แถมยังมาอ้อนด้วยการนั่งตักแล้วเอียงหัวซบอีกต่างหาก ไม่ให้หลงได้อย่างไรหลานคนนี้
ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กเพราะบุตรสาวปิดเงียบมาตลอด ไม่เคยกล่าวถึงเลยสักครั้ง มักทำแววตาเศร้าหากมองไปที่บุตรสาวนานๆ ทำให้คิดว่าคงจากกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ไม่รู้เวรกรรมอะไรชีวิตลูกสาวถึงได้เป็นเหมือนหล่อน ทั้งที่อยากให้พบเจอคนดี ได้ใช้ชีวิตครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกแท้ๆ
“เดี๋ยวยายจ๋าพาไปนอนนะ” ประนอมเข้าไปอุ้มหลาน แต่เด็กหญิงกลับดิ้นลงพลางเดินไปกอดคนเป็นแม่
“ดาดาฝันดีนะ” จับใบหน้าของคนมากกว่าวัยแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ เป็นการบอกราตรีสวัสดิ์ในฉบับของเด็กหญิงลัดฟ้า พัทธนันท์
“น้องฟ้าก็ฝันดีนะ” หนูน้อยพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องนอนด้านล่างที่เป็นของยายทั้งสอง อาจเพราะติดคุณยายมากกว่าคนเป็นแม่ แต่ถ้าวันไหนนับดาวเล่นกับลูกทั้งวันก็มักจะนอนด้วยกันอยู่บนชั้นสอง
น้องลัดฟ้ารู้ถึงสถานะว่าหล่อนเป็นแม่ แต่ติดเรียกว่าดาดามากกว่าเพราะเป็นคำแรกที่พูดได้หลังจากหัดออกเสียง ทุกคนจึงได้เลยตามเลยค่อยหัดให้เรียกใหม่ตอนเข้าประถมหรือรู้ความมากกว่านี้ก็ยังไม่สาย
“แม่ทำหมวกไหมพรมเหรอ” เห็นมารดานั่งถักนิตติ้งก็ถามขึ้นขณะที่รับประทานอาหารเย็น
“ใช่ ลูกค้าเขาสั่งอยากได้สีนี้” เงยหน้ามาตอบบุตรสาวแล้วก้มลงถักต่อ
ตอนที่นับดาวท้องน้องลัดฟ้าหล่อนขลุกอยู่แต่ในคอนโด ไม่ค่อยออกไปไหนสักเท่าไหร่ งานก็ไม่ได้รับเพราะอยากปิดบังเรื่องท้องเอาไว้ ดีที่ตอนนั้นไม่ค่อยดังส่วนมากจะมีแค่ถ่ายแบบหรือเป็นตัวประกอบเท่านั้น
เธอใช้เวลาว่างด้วยการตัดเย็บชุดลูกสาว เมื่อเห็นว่าสวยก็โพสลงเฟซบุ๊คและอินสตราแกรม มีเพื่อนทักมาชมและขอซื้อเยอะจนต้องทำขาย มีรายได้ในช่วงพักผ่อนพอจ่ายค่าคอนโดที่เพิ่งซื้อและต้องผ่อนหลักหมื่นในแต่ละเดือน
ดีที่มีเงินเก็บอยู่พอสมควร ตอนคลอดลูกจึงไม่ได้ลำบากหรือขัดสนมากเท่าไหร่ บวกกับเงินที่บิดาให้ก่อนไล่ออกจากบ้านก็ตั้งตัวได้สบาย และหล่อนปณิธานกับตัวเองเอาไว้จะไม่กลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเด็ดขาด
ความทรงจำแสนเลวร้าย ความรู้สึกแย่ๆ ทิ้งไว้ที่บ้านหลังใหญ่ให้หมด แล้วมาเริ่มสร้างความสุขใหม่โดยมีแค่แม่ น้าประนอมและลูกสาวเท่านั้น
ครอบครัวของเธอมีเพียงสี่คน...
“แม่ไปนอนก่อนนะ” ถักหมวกไหมพรมเสร็จก็เก็บข้าวของแล้วเข้าห้องนอน ปล่อยร่างบางไว้คนเดียว
หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ไปหยิบเสื้อผ้าบนห้องแล้วมาอาบน้ำข้างล่าง เข้าไปดูลูกสาวที่นอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างยายทั้งสองก็อมยิ้ม แล้วค่อยปิดประตูเสียงเบาก่อนจะก้าวขึ้นบนชั้นสอง ปิดไฟตรงบันไดพร้อมเข้านอน
ทว่าเสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็แจ้งเตือนเสียก่อนจึงได้เปิดอ่าน พบว่าเป็นการติดต่อถ่ายแบบจากนิตยสารชื่อดัง เธอรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากไม่มีผู้จัดการ ต้องดูแลตารางงานของตนเองทั้งหมดจึงค่อนข้างหัวหมุนเล็กน้อย ช่วงไหนงานยุ่งก็แทบไม่ได้พัก แต่ดีที่ช่วงนี้งานเริ่มอยู่ตัวมากขึ้น หล่อนรับละครแค่ปีละเรื่องเท่านั้นอยากมีเวลาพักผ่อนและอยู่กับลูกมากกว่า
ส่วนใหญ่ก็รับเพียงงานพิธีกรและถ่ายแบบ หรือถ้าได้พรีเซนเตอร์อีกสักตัวก็คงจะดี...