ตอน 2
นิชามองไปทั่วบริเวณไม่เห็นพนักงานประจำหน้าเคาน์เตอร์ไม้ที่อยู่มาคู่กับโรงแรม ที่นี่เก่าเกินไปไม่เข้ายุคเข้าสมัย แขกที่เข้ามาพักล้วนเป็นขาจรอย่างเช่น เซลแมนขายของตามต่างจังหวัด และพวกหนุ่มสาวที่มักเข้ามาใช้โรงแรมแห่งนี้เป็นสนามจ้ำจี้ ว่าไม่ได้เพราะที่นี่ด้อยค่าไม่คู่ควรกับคำว่าโรงแรมห้าดาว นอกจากคำว่าโรงแรมจิ้งหรีด
ใครสักคนเดินออกมาจากด้านหลัง หอบหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาด พร้อมกับสวมผ้ากันเปื้อน ใบหน้าเปื้อนเหงื่อ ยกหลังมือเช็ดหน้าผากที่มีเม็ดเหงื่อหยด หลังจากเช็ดเงยหน้ามองแขกที่นั่งสง่างามอยู่ตรงเก้าอี้ พัดลมเพดาฉลุลายติดโคมไฟยังคงหมุนทำงานของมันอยู่เอื่อยๆ
“ต้องการติดต่อห้องพักหรือคะ” ใครคนนั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมกับวางอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือลง เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน โดยยังไม่ทันได้สังเกตใบหน้างดงามของผู้มาเยือน
“เปล่าค่ะ ไม่ได้มาติดต่อห้องพัก” เสียงหวานตอบพร้อมกลั้นยิ้ม มองคนคุ้นเคยด้วยแววตาซ่อนเล่ห์ เธอจากไปไม่นานน้าจรี ลืมหน้าเธอไปแล้วอย่างนั้นหรือ
“ไม่ทราบต้องการอะไรคะ ดิฉันพอช่วยได้มั้ย” เธอเสนอความช่วยเหลือ
“ช่วยได้ค่ะ” หญิงสาวผู้เลอโฉม ผิวขาวสะอาดกระจ่างใส ผมยาวสลวยเงางามดำขลับปล่อยยาวสลายทั่วแผ่นหลัง บนดวงหน้าสวมแว่นกันแดดสีดำอันโตบดบังใบหน้า เผยจมูกโด่งเหมาะเจาะกับดวงหน้าเล็กเรียวรูปไข่ เหมาะเจาะกับเรียวปากอวบอิ่มจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อสุกใสน่าขบ
“ว่ามาเลยค่ะ ท่าทางคุณไม่ใช่คนแถวนี้หน้าไม่คุ้นเลย ถามทางหรือจะมาเช่าโรงแรมหรูด้านโน้นล่ะคะ” พนักงานคนนั้นถามยืดยาว พลางเดินไปหลังเคาน์เตอร์ ชี้ไปทางตึกรามใหญ่ราวๆ ห้าร้อยเมตรจากตรงนี้ ที่นั่นเป็นที่ตั้งโรงแรมปริ้นเซส กิจการใหญ่โตของนักลงทุนชาวต่างชาติ
นิ้วเรียวยกขึ้นดึงแว่นกันแดดสีดำลงจากดวงหน้า เผยใบหน้าที่แท้จริง การจากไปแค่สี่ปีคงไม่ทำให้หน้าตาเธอเปลี่ยนไปมาก ขนาดคนเก่าแก่ที่ทำงานกับบิดามาค่อนชีวิต จะจำเธอไม่ได้หรอกหนา
“ขอห้องพักพิเศษที่สุดค่ะ”
“ห้องที่นี่ดีเหมือนกันทุกห้องค่ะ เตียงเดี่ยวไม่มีห้องพิเศษอย่างที่คุณ....ว่า” จรีในวัยสามสิบเก้าเงยหน้าบอกแขกผู้มาเยือน พร้อมอธิบายลักษณะของห้องพักที่นี่ “ต๊าย !! คุณหนูเล็ก” ครั้นพอเห็นหน้าแขกผู้มาเยือนชัดตานางถึงกับกรีดร้องด้วยความดีใจ สี่ปีกว่าๆ ที่ไม่เห็นหน้าคุณหนูคนเล็กผู้น่ารักของเจ้าสัวฮง
“สวัสดีค่ะน้าจรี” หญิงสาวคนสวยยกอไว้หญิงสูงวัยกว่าตน พลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ที่สามารถพรางหน้าแท้จริงได้ชั่วคราว หลอกล่อคนเก่าของบิดาได้อย่างสนุกพอหอมปากหอมคอ
“สวย สวยขึ้นมาก จนน้าจำไม่ได้แน่ะ ไหนๆ ดูซิ” จรีถลาออกจากเคาน์เตอร์ไม้คร่ำคร่า ประตูกั้นเด้งกลับไปมาตามแรงผลัก ดึงร่างบางโอบกอดด้วยความคิดถึง
“คนอื่นหายไปไหนกันหมดคะ” คนสวยรูปร่างดีมาๆ คงจะควบคุมอาหารดีเยี่ยม เธอเอ่ยถามถึงพนักงานในโรงแรมคนอื่นๆ เพราะตั้งแต่มาถึงพบแต่จรีเพียงคนเดียว ปกติจะต้องมีพนักงานอีกสามคน แบ่งแยกกันตามหน้าที่ ปกติจรีไม่ได้ประจำหน้าเคาน์เตอร์ มีหน้าที่ทำความสะอาด ดูแลห้องพักกับพนักงานอีกสองคน ทั้งนี้สองคนนั้นซึ่งอ่อนอาวุโสกว่าจรียังไม่เห็นหน้าเช่นกัน รอยตะวันมีพนักงานตอนที่เธอยังไม่ได้ไปเรียนต่อร่วมสิบคน
“ไม่มีใครอยู่แล้วล่ะค่ะคุณหนูเล็ก” น้ำเสียงจรีตอบแผ่วเบาเจือเศร้าหม่น
“เรียกเหมยสิคะน้าจรี” หญิงสาวไม่ถือตัว ให้ความคุ้นเคยกับพนักงานในส่วนของโรงแรม ตั้งแต่เป็นเด็กวิ่งเล่นอยู่ในโรงแรม เพราะบ้านอยู่รั้วด้านหลังโรงแรมนี่เอง
“หายไปไหนคะ” ภายในรอยตะวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นพนักงานที่หายไปจนหมด หากแต่โลกรายล้อมรอยตะวันเปลี่ยนไปจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากมาย เพียงแค่สี่ปีกว่าการเปลี่ยนแปลงก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว รอยตะวันกลายเป็นของเก่ารายล้อมไปด้วยความทันสมัยของตึกรามอิฐปูน
รอยตะวันไม่มีอะไรสู้โรงแรมประกอบการโดยชาวต่างชาติ ซึ่งเอื้ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวได้เลย หญิงสาวหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีจรีนั่งเคียงข้าง
“น้าว่าหนูเหมยคงพอจะทราบอะไรๆ บ้างแล้ว” จรีอยู่ทำงานที่รอยตะวันเพราะใจไม่ใช่เงินตรา ซึ่งจริงๆ นางควรไปจากที่นี่ตามเพื่อนพนักงานคนอื่นไป หากแต่นางเลือกอยู่เพราะน้ำใจมิตรไม่ตรีของเจ้าสัวฮง
“เอ่อ...ค่ะเหมยทราบ” คนตอบก็ตอบกลับเสียงเศร้า ไม่ใช่เธอไม่รู้เรื่องกิจการของครอบครัว เพราะรู้น่ะสิจึงตัดสินใจไปเรียนต่อตามที่บิดาขอ เพื่อกลับมากอบกู้กิจการค่อนข้างแย่ขาลง โรงแรมรอยตะวันคงอยู่ได้เพราะระดับของมันที่เลื่อนลงจากโรงแรมอันดับหนึ่งในเมืองภูเก็ต กลายเป็นโรงแรมระดับล่าง เรียกง่ายๆ ว่าโรงแรมจิ้งหรีด สำหรับคนทำงานที่ต้องการหาที่พักราคาเบาๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการมาทำงานยังเมืองนี้เท่านั้น
“ทุกคนลาออกไปทำงานที่โรงแรมใหญ่ตรงโน้นหมดแล้ว เงินดี สวัสดิการเยี่ยม มีใครบ้างจะไม่ไป” จรีกล่าว
“น้าจรีทำไมไม่ไปคะ” หญิงสาวทายาทคนเล็กของเจ้าสัวฮงเอ่ยถาม เธอไม่ได้ประชดแต่อยากรู้ว่าทำไมคนอย่างจรีที่มีครอบครัวต้องดูแลจึงไม่ลาออกไปทำงานที่ดีกว่า
“น้าเกิดจากรอยตะวัน มีงานทำเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้เพราะรอยตะวัน น้าทิ้งเจ้าสัวไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“น้าจรี” เสียงหมองพ่นชื่อคนเก่าแก่ของรอยตะวัน ไม่คิดว่าจะได้ยินจรีพูดประโยคกินใจขนาดนี้ มือบางคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ ส่งผ่านคำขอบคุณไปยังจรี “ขอบคุณมากค่ะที่อยู่กับรอยตะวัน อยู่กับเตี่ยของหนูเหมย” หญิงสาวกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ต่อไปนี้เป็นหน้าที่หนูเหมยเองค่ะ ที่จะฟื้นฟูรอยตะวันให้กลับมามีคุณค่าในสายตานักท่องเที่ยว และแขกที่มาพัก ไม่มองรอยตะวันเป็นโรงแรมจิ้งหรีด มาพักเพื่อเล่นจ้ำบ๊ะกันเท่านั้น” นอกจากพวกหนุ่มสาวเข้ามาเช่าเล่นจ้ำจี้กัน เห็นจะมีพวกเซลหรือพนักงานขายของซึ่งต้องเดินสายขายของตามต่างจังหวัดเข้ามาพักคืนเดียวหรือสองคืน ก่อนจะจากถิ่นนี้ไปเท่านั้น ค่าห้องพักถูกว่าโรงแรมหรูสี่ดาว ห้าดาว
“เหมย” หญิงสาวอึกอักไม่กล้าตอบเต็มปาก ว่าจะสามารถกอบกู้รอยตะวันได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อมองโดยรอบรอยตะวันไม่ต่างกับร้านอาหารห้องแถวในสมัยที่ตึกสูงมีอิทธิพลเลยจริงๆ
“ตอนนี้เพิ่งกลับมายังไม่ต้องคิดอะไรหรอกค่ะ โน่นค่ะ ท่านเจ้าสัวรออยู่” จรีหันไปทางด้านหลังโรงแรม ตั้งแต่เช้าเจ้าสัวฮงเฝ้ารอการกลับมาของบุตรสาวคนเล็กจนไม่เป็นอันทำอะไร
“จริงสิ เตี่ยรออยู่นี่นา เหมยขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวกระวีกระวาดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปทางประตูด้านหลังโรงแรมเชื่อมไปยังบ้านมีเพียงรั้วกั้น ระหว่างพื้นที่บริเวณโรงแรมกับบ้าน “ฝากกระเป๋าด้วยค่ะน้าจรี” ตะโกนบอกกับแม่บ้านของโรงแรมแล้วหายออกจากประตูไป เส้นทางนี้คือเส้นทางวิ่งเล่นของนิชากับพี่ๆ ทั้งสองตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อก่อนโดนบิดากับมารดาดุประจำ เพราะเกรงจะส่งเสียงดังรบกวนแขก เมื่อก่อนรอยตะวันไม่เคยขาดแขกที่เข้ามาพัก ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
“ไหนว่ามาซิผลการเจรจาเป็นยังไง” เสียงทุ้มของคนหน้านิ่ง วางมาดเยือกเย็นสุขุม พร้อมกับแววตาดุดัน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงพลังด้วยภาษารัสเซีย เขานั่งอยู่บนโซฟาเนื้อดีสีดำตัวประจำซึ่งคุ้นก้น ในมือถือแก้วทรงเตี้ยบรรจุน้ำสีชาค่อนก้นคลึงเคล้าแก้วใบนั้นไปมา หลังจากจิบเครื่องดื่มแล้วอมไว้ในปาก เพื่อดื่มด่ำกับรสชาตินุ่มละมุนก่อนจะกลืนลงคอ แล้วถามความคืบหน้างานที่มอบหมายให้บอดี้การ์ดสองหนุ่มไปจัดการ
“เจ้าของไม่ยอมขาย”