บทที่ 9
คำพูดที่ออกมาจากใจของส้มหวานดูจะเรียกสติของท่านประธานได้ดีกว่าที่คิด เพราะนอกจากวันถัดมาจะไม่ถูกแกล้งแล้ว เขายังอนุญาตให้เธอติดรถกลับบ้าน เว้นเพียงแค่วันที่ต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก หรือเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าอัณณิกา
ส้มหวานรู้ว่าเขาชอบผู้หญิงคนนั้นมาก ขนาดถูกหักอกก็ยังไม่ยอมตัดใจ ไปมาหาสู่และให้ความช่วยเหลือกันในทุก ๆ เรื่องและมันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาได้รับความรักจากเธอ
หากปกป้องมีความสุขก็อาจจะปฏิบัติกับเธอดีกว่านี้ก็ได้…
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างล่ะหนูส้ม?” คุณหญิงพิมพ์แขถามขึ้นในบ่ายวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดแรกของส้มหวานนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านศุภสวัสดิ์
“ราบรื่นดีค่ะคุณย่า มีแต่คนชมคุณป้องว่าทำงานเก่ง เข้ากับทุกคนได้ดี สมกับเป็นลูกชายของคุณอาค่ะ”
“แล้วกับหนูส้มล่ะ ตาป้องดีกับหนูหรือเปล่า?”
“คุณป้องใจดีมากค่ะ” ส้มหวานไม่แน่ใจว่าที่ตอบไปนั้นตรงตามความจริงหรือเปล่า ปกป้องน่ารักและใจดีกับทุกคนอย่างที่เธอว่าจริง ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้เธอไม่สบายใจ เรียกได้ว่าประหยัดคำพูดจนแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ
“คุณป้องมาพอดีเลยค่ะ ส้มขอตัวไปดูแลเรื่องอาหารให้คุณอาก่อนนะคะ”
ก่อนที่ปกป้องจะเดินมาถึงคุณหญิงย่าที่กำลังนั่งดื่มชายามบ่ายอยู่บริเวณระเบียงบ้าน ส้มหวานก็หายตัวไปเสียแล้ว เขาพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับยัยตัวแสบที่ชอบเข้ามาปั่นป่วนในสมองของเขาดี
“เป็นอะไรไปล่ะตาป้อง ถอนหายใจยาวเชียว”
“คิดเรื่องงานครับคุณย่า” เขาปดคำโต “วันมะรืนนี้มีประชุมที่หัวหิน ผมว่าจะรบกวนคุณภาสให้ไปด้วยกัน แต่ดันตรงกับวันที่เขาขอลางานไว้ ผมเองก็เกรงใจ ไม่กล้ารบกวน”
ประภาสอายุมากกว่าปกป้องสิบห้าปี ต่อให้ปกป้องคือเจ้านายของเขาก็ยังรู้สึกเกรงใจ ไม่กล้ารบกวนให้ไปหัวหินด้วยกัน เพราะทางนั้นคุยอย่างภาคภูมิใจหลายวันแล้วว่าวันจันทร์นี้จะได้ไปดูลูกชายแข่งขันว่ายน้ำเป็นครั้งแรก หลังจากที่พลาดนับครั้งไม่ถ้วน ปกป้องที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว อย่างน้อยก็ก่อนที่คุณพ่อของเขาจะก่อเรื่อง จึงไม่กล้าแคนเซิลวันหยุดเพราะห่วงว่าลูกชายของประภาสจะน้อยใจ
“ไม่อยากกวนนายภาสก็พาหนูส้มไปสิ รายนั้นน่ะความจำดีมากเลยนะ ใครพูดอะไรจำได้ทุกอย่าง เท่าที่คุณพ่อของเราเล่าให้ฟัง เหมือนจะทำงานคล่องเลยแหละ เพราะตอนฝึกงานนอกจากจะวิ่งไปวิ่งมาในแผนกบัญชีแล้ว ยังแวะมาช่วยนายภาสด้วยอีก”
“ก้าวก่ายงานคนอื่นล่ะสิไม่ว่า…” ปกป้องอดเหน็บไม่ได้
“ปากร้ายจริง ๆ เด็กคนนี้” คุณหญิงพิมพ์แขค้อนหลานชาย
“พ่อเราดุแค่ไหน หลานน่าจะรู้ดีที่สุด ตาเปรมบอกว่าแค่วิ่งไปวิ่งมาคอยส่งเอกสารน่ะไม่ได้เรียนรู้อะไรหรอก ต้องหัดทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน หนูส้มก็เลยวิ่งวุ่นไม่ได้พัก ย่าก็ไม่ได้เห็นด้วยตาหรอกนะ แต่ก็พอเดาจากนิสัยพ่อเราได้ว่าน่าจะเข้มงวดพอสมควร พวกชอบความเพอร์เฟกต์ก็แบบนี้แหละ”
“ครับ คุณพ่อท่านเป็นคนดุจริง ๆ” ปกป้องไม่ชอบพูดถึงบิดาตัวเอง แต่ก็ขัดไม่ได้หากคู่สนทนาคือคุณหญิงย่า และที่ทำไม่ได้ยิ่งกว่าก็คือการเถียงว่าคุณพ่อคือคนที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกเพราะความไม่รู้จักพอ ห่างไกลคำว่าเพอร์เฟกต์โดยสิ้นเชิง
ส่วนยัยส้มหวานเขายังไม่สรุปว่ามีนิสัยอย่างไร รู้เพียงว่าเป็นคนที่ช่างสรรหาเหตุผลมาพูดได้น่าฟังที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องที่คุยกันในคืนนั้น แต่รวมถึงเรื่องงานที่เขาเคยได้ยินเธอคุยกับประภาส หรือไม่ก็เวลาออกความเห็นกับเพื่อน ๆ
เวลาส้มหวานทำงานเธอไม่เหมือนเด็กอายุยี่สิบสองปี จริงจังและเอาใจใส่ทุกรายละเอียด จากที่อ่านบันทึกประจำวันเขาก็รู้แล้วว่าเธอมีความสามารถ ยังไม่รวมเกรดเฉลี่ยที่สูงลิบลิ่วนั่นด้วยอีก
เรื่องที่ว่ามาสืบได้ไม่ยาก ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นช่างดึงดูด เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แม้ไม่ได้พูดออกมา แต่ปกป้องมั่นใจว่าเธอไม่ได้เกลียดกัน ความจริงถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาคิดว่าเธอน่าจะชอบเขาอยู่ไม่น้อย หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงแปลกน่าดู เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เขาไม่เคยทำดีกับเธอแม้แต่ครั้งเดียว
ความผิดเรื่องฉวยโอกาสกับเด็กอายุสิบแปดปียังรบกวนจิตใจของปกป้อง ถึงจะอ้างกับตัวเองว่าแค่จูบเบา ๆ ไม่ได้ดุเดือดเหมือนเวลาที่เขาไปสนุกกับคู่นอนชั่วคืน แต่ปากแตะปากก็แปลว่าจูบอยู่ดี
“ว่ายังไงตาป้อง อยากให้หนูส้มไปด้วยหรือเปล่า?”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับคุณย่า ผมจะได้ไม่ต้องขับรถคนเดียว มีเพื่อนนั่งไปด้วยก็ดีเหมือนกัน” ปกป้องอยากหยิกตัวเองที่โกหกอีกแล้ว เขาชอบขับรถคนเดียว อยากหยุดก็หยุด อยากไปต่อก็ไม่ต้องรอใคร แต่ที่ให้ส้มหวานไปเพราะอยากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงมองเขาด้วยสายตาแบบนั้น
ปกป้องบอกตัวเองว่าแค่อยากรู้ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว
