บทที่ 7
ธัญญ่าต่อปากต่อคำกับเพื่อนสนิทได้ครู่หนึ่งก็หันมาจริงจังกับส้มหวาน เสนอตัวด้วยว่าจะไปรอเป็นเพื่อน แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างสุภาพ พร้อมให้เหตุผลเรื่องความเหมาะสม ว่าคุณปกป้องเป็นถึงประธานบริษัท หากพนักงานเห็นว่าเขารับน้องใหม่กลับบ้านด้วยคงไม่ใช่เรื่องที่อธิบายง่ายนัก
“แต่เดี๋ยวคนก็รู้อยู่ดีว่าส้มอยู่บ้านเดียวกับท่านประธาน”
“ส้มรู้ค่ะพี่รัก พี่ธัญญ่า แต่ถ้าเลือกได้ส้มก็อยากให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด หรือไม่รู้เลยยิ่งดี เพราะยังไงส้มก็อยู่ที่บ้านนั้นแค่ไม่กี่อาทิตย์ รอคุณเปรมหายดีก็ได้ย้ายไปอยู่คอนโดเหมือนเดิมแล้ว”
“พี่เข้าใจนะ คนในบริษัทเรามันก็ขี้นินทาจริง ๆ นั่นแหละ เอาเป็นว่าส้มระวังตัวด้วยละกัน ถ้าระหว่างรอคุณป้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบโทรหาพี่ หรือนังธัญญ่าก็ได้”
จงรักจำได้ดีว่าช่วงที่ส้มหวานเริ่มฝึกงาน คนในแผนกพูดจาลับหลังอย่างไรบ้าง ต้องรอเกือบเดือนท่านประธานถึงทราบเรื่องและเปรยให้หลาย ๆ คนรู้ว่าท่านอุปการะส้มหวานและเอ็นดูเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง ข่าวลือไม่น่าฟังจึงค่อย ๆ เงียบไป เหลือเพียงคำชมว่าเด็กที่ท่านประธานให้ทุนการศึกษานั้นมารยาทดี ไม่เคยอวดอ้างว่าตัวเองมีเส้นสายและตั้งใจทำงานตามคำสั่งของพี่ ๆ ทุกคน
ในวันนี้ส้มหวานเปลี่ยนมาทำหน้าที่กึ่งเลขานุการของท่านประธานคนใหม่ โต๊ะของเธออยู่เยื้องข้างหลังโต๊ะของคุณประภาส ผู้ช่วยส่วนตัวของเจ้าของบริษัทตัวจริงแค่สองเมตร แต่กลับยังทำตัวน่ารักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เรียกได้ว่าความใกล้ชิดกับครอบครัวเจ้านายไม่ได้ส่งผลกับนิสัยของเธอเลย
ส้มหวานยังคงอ่อนน้อมถ่อมตน ทว่าจงรักกับธัญญ่ารู้จักน้องสาวคนนี้มากพอที่จะรู้ว่าภายใต้ความอ่อนหวานนั้นมีความเข้มแข็งซ่อนอยู่ หากมีใครยั่วโมโหเธอจะเก็บอารมณ์ราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่หากใครพูดจาไม่ดีถึงคนที่เธอรัก ไม่ว่าจะเป็นท่านประธานซึ่งเป็นผู้มีพระคุณ หรือเพื่อนร่วมงานที่สนิทกัน เธอจะไม่รีรอที่จะแสดงความเห็น หลายครั้งโต้กลับแข็งกร้าวเสียด้วยซ้ำไป
พูดง่าย ๆ ก็คือส้มหวานรู้จักดูแลตัวเอง
ด้วยเหตุนี้จงรักและธัญญ่าจึงปล่อยให้น้องไปรอที่ลานจอดรถได้อย่างวางใจ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของส้มหวานเพราะเธอไม่อยากให้เขาคิดว่าตัวเองไม่ทำตามคำสั่ง หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้เขาไม่พอใจ
หญิงสาวมองนาฬิกาบนข้อมือ ตอนนี้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว แต่ปกป้องก็ยังไม่มา กระนั้นเธอก็ยังทำตามที่เขาสั่งอย่างเคร่งครัด ลงไปรอที่หน้าลิฟต์ลานจอดรถฝั่งตะวันออก ซึ่งพอไปถึงแล้วก็พบว่าไม่ค่อยมีคนอย่างที่จงรักบอกไว้จริง ๆ
เธอยืนรออยู่พักใหญ่ ทว่าเจ้านายสุดที่รักก็ยังไม่ปรากฏตัว จึงตัดสินใจลากเก้าอี้พลาสติกตัวเก่าที่วางอยู่ไม่ไกลมาไว้หน้าลิฟต์ ก่อนหย่อนตัวนั่งรออย่างอดทน
“ส้มรอชั่วโมงหนึ่งแล้วนะคะคุณป้อง”
ใบหน้าส้มหวานเรียบเฉย ไม่แสดงความหวาดกลัว มือเรียวที่ปกติมักเล่นมือถือระหว่างรอแท็กซี่ซุกอยู่ในกระเป๋าและจับอุปกรณ์ป้องกันตัวไว้อย่างมั่นคง ดวงตากลมโตกวาดมองอย่างระแวดระวังตามสัญชาตญาณที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก
เธอนั่งอยู่อย่างนั้นเกือบสองชั่วโมง พอนาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรงก็ยิ้มเยาะตัวเองเบา ๆ ตระหนักได้แล้วว่าถูกหลอกให้รอเก้อ แต่เธอไม่โกรธเขาหรอก มีอีกหลายเรื่องที่ปกป้องยังไม่รู้ หลายเรื่องที่เขาเข้าใจผิดและคงไม่มีวันได้รู้ว่าความจริงคืออะไร
“แค่นี้ไม่ทำให้ส้มถอยหรอกนะคะคุณป้อง...”
เพราะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ส้มหวานจึงโกรธไม่ลง ทั้งยังคิดเผื่อไปด้วยว่าหากเจอเรื่องร้าย ๆ แบบเดียวกันจะรู้สึกอย่างไร คิดจะตอบโต้คนที่เข้ามาทำลายครอบครัวของตัวเองในรูปแบบไหน เธอย่อมรู้ดีที่สุด มั่นใจด้วยว่าต้องรุนแรงกว่าปกป้องหลายเท่าตัว
ชีวิตของส้มหวานไม่ได้ราบรื่นเช่นเด็กในวัยเดียวกัน เธอมีช่วงเวลาที่ดีและเก็บมันไว้ในความทรงจำไม่เคยลืมเลือน ส่วนเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมา เธอจำไว้เป็นบทเรียนและเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันตัวเองให้ก้าวต่อไปข้างหน้าในเส้นทางที่ถูกต้อง
หญิงสาวอมยิ้มเมื่อนึกถึงบาดแผลในอดีต เจ็บเพราะคนที่ร้ายกับเธอมาก็ไม่น้อย ถึงขั้นเลือดตกยางออกก็หลายครั้ง แล้วกับแค่เรื่องที่ผู้มีพระคุณทิ้งเธอให้นั่งรอเก้อจะนับเป็นเรื่องใหญ่ไปได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็จะไม่ยอมให้เขาทำเช่นนี้
ในเมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านศุภสวัสดิ์แล้ว เธอจะต้องทำทุกอย่างให้ออกมาดีกว่าเก่า เพื่อให้คุณเปรมและคุณหญิงพิมพ์แข รวมถึงปกป้องมีความสุข เธอยินดีที่จะอดทนเพื่อให้ครอบครัวของเขากลับมามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นดังเดิม แม้ต้องแลกกับการถูกเขาเกลียดเพิ่มร้อยเท่าก็ยอม
