บทที่ 5
“แล้วจะกลับไปเป็นลูกจ้างเขาน่ะเหรอ?” คุณหญิงพิมพ์แขถามเสียงเรียบ ทว่าสื่อสารชัดเจนว่ากำลังโกรธมาก “คราวนี้จะหาข้ออ้างอะไรล่ะ อยากฝึกงานตั้งแต่ระดับล่างโดยไม่มีเส้นสายเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่าก็ยอมตามใจป้องมาหนแล้ว ปกป้อง ทำงานให้บริษัทอื่นหลานก็ทำได้ แล้วทำไมถึงคราวบริษัทตัวเองถึงได้มีปัญหานัก”
“ผมไม่สะดวกใจนี่ครับคุณย่า”
“ดูเถอะ คนอื่นหาโอกาสเติบโตในอาชีพการงานแทบตาย แต่หลานของย่ากลับมองไม่เห็นค่าของโอกาส นี่ถ้าไม่ยื่นคำขาดให้ลาออกจากที่นู่น ป้องก็คงจะไม่มาง่าย ๆ”
คุณหญิงพิมพ์แขให้อิสระหลานชาย ไม่ต่างจากลูกชายที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ แต่พอถึงจุดที่ทนไม่ไหวท่านก็ออกคำสั่งให้ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลกลับมาทำหน้าที่ หาไม่แล้วท่านเองนี่แหละจะเป็นคนเข้าบริษัทไปดูแลงานด้วยตัวเอง ปกป้องได้ยินเช่นนั้นก็รีบลาออกจากงาน เพราะรู้ว่าคุณย่าไม่ได้พูดเล่น
“คุณย่าอย่าโกรธผมเลยนะครับ ผมแค่รู้สึกไม่สบายใจ...”
“ไม่สบายใจที่ต้องสานต่อธุรกิจของพ่อ หรือว่าไม่สบายใจเรื่องที่พ่อเราทำจนแยกแยะไม่ออก ว่าเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานคืออะไร หน้าที่ความรับผิดชอบคืออะไร”
“คุณย่า...” ปกป้องแทบไม่เคยถูกดุ ตอนนี้จึงพูดไม่ออก
“พ่อผ่าตัดหัวใจแท้ ๆ แต่คนเป็นลูกไปเยี่ยมแทบนับครั้งได้ แล้ววันที่พ่อเรากลับมาบ้าน ป้องก็ไม่ได้ไปรับ ให้คนแก่อายุเจ็บสิบกว่าไปรับลูกชายเอง ป้องว่าแบบนี้มันใช้ได้หรือเปล่า”
“ผมขอโทษครับ คุณย่า...” ปกป้องอยากบอกว่าเขาไปเยี่ยมบิดาทุกวัน แต่ไม่ได้บอกใคร คงเพราะกลัวว่าการแสดงความห่วงใยจะทำให้ความสัมพันธ์ต่างจากเดิม
ปกป้องรักคุณพ่อ แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะให้อภัย ยิ่งผู้หญิงที่ตนเกลียดเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันด้วยแล้ว ทิฐิอันน่ารังเกียจของเขาก็ยิ่งสูงขึ้น จนถึงขั้นไม่แก้ไขความเข้าใจผิดที่ว่าตัวเองไม่สนใจบิดา ทำตัวอกตัญญูด้วยการไม่ไปดูแล ทั้ง ๆ ที่ท่านล้มป่วยจนถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัด
“เอาเถอะ ย่าเองก็ไม่อยากพูดอะไรมาก โต ๆ กันหมดแล้ว ในเมื่อป้องไม่อยากคุยกับพ่อก็ไม่เป็นไร ให้หนูส้มคอยรายงานความคืบหน้าของโพรเจกต์แทนก็แล้วกัน”
“หนูส้ม? ส้มหวาน? แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับคุณย่า ไหนว่าถูกเรียกตัวมาดูแลคุณพ่อในช่วงพักฟื้น แล้วทำไมถึงต้องรายงานเรื่องโพรเจกต์ด้วยล่ะครับ”
“ถ้าป้องจะสรุปงานให้คุณพ่อฟังด้วยตัวเอง ย่าก็จะให้หนูส้มอยู่ที่บ้าน แต่ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อมคุย ย่าก็คงไม่มีทางเลือก” คุณหญิงพิมพ์แขกล่าวจบก็หันไปยิ้มทักทายสมาชิกใหม่ของบ้านที่เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารพอดี “หนูส้ม มาสิ ทานข้าวต้มด้วยกัน”
“ส้มเรียบร้อยแล้วค่ะคุณย่า”
“รับพร้อมคุณเปรมแล้วเหรอ?”
“ทานในครัวค่ะคุณย่า”
ส้มหวานตอบอย่างสุภาพ สองมือประสานกันยามคุยกับผู้ใหญ่ทำให้คุณหญิงพิมพ์แขเอ็นดูเสียยิ่งกว่าเดิม ส่วนอีกคนที่มองอยู่กลับหมั่นไส้จนอยากจะแกล้งเธอให้ร้องไห้ หรืออย่างน้อยก็หลุดจากมาดนางเอกที่แสดงเสียที
“วันหลังมาทานด้วยกันที่นี่นะ เสร็จแล้วก็ติดรถไปทำงานกับตาป้อง จะได้ไม่ต้องเหนื่อยนั่งแท็กซี่ เลิกงานก็กลับมาพร้อมกันเสียทีเดียว”
“คุณย่าครับ!” ปกป้องลืมตัวขัดขึ้นเสียงดัง แต่ก็เงียบทันทีที่สายตาดุ ๆ ของคุณย่ามองมาที่เขาอีกครั้ง “คือผมอาจมีธุระช่วงเย็น ไม่สะดวกมาส่งส้มหวานน่ะครับ”
“วันไหนไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ย่าจะให้ตาองอาจไปรับ”
ปกป้องได้ยินเช่นนั้นก็ตวัดสายตามองยัยตัวปัญหาอย่างไม่พอใจ ส้มหวานเพิ่งมาอยู่บ้านหลังนี้ได้สองวัน คุณย่าก็ยกคนขับรถให้เสียแล้ว เรื่องที่ว่าอยู่ครบสัปดาห์ได้รถ ครบเดือนได้บ้านหลังโต คงไม่ไกลเกินจริง แต่ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้ลูกสาวของคนที่ทำลายครอบครัวของเขาชนะง่าย ๆ แบบนั้นหรอก
“ถ้าไม่ติดธุระผมจะมาส่งส้มหวานด้วยตัวเอง คุณย่าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแล...น้องส้ม...ให้ดีที่สุดเลย”
“ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย”
คุณหญิงพิมพ์แขวางช้อนข้าวต้ม รสชาติอาหารในวันนี้ดีเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา แต่การดุหลานชายคนเดียวทำให้ความอยากอาหารลดลงจนไม่สามารถฝืนรับประทานได้อีก
“ย่าอิ่มแล้ว” หญิงชราว่าพลางลุกจากโต๊ะอาหาร แต่ก่อนจะออกจากห้องก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดความในใจออกมาให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกัน
“ขึ้นชื่อว่าผ่าตัดหัวใจ ไม่มีคำว่าผ่าตัดเล็กหรือใหญ่หรอกนะ โดยเฉพาะกับคนที่อายุห้าสิบกว่า ร่างกายจะกลับมาเป็นปกติหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเหมือนเดิมก็ดีไป แต่ถ้าไม่เหมือนเดิม...ย่าว่าทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก่อนที่จะสายเกินไปก็ดีนะ”
คำสอนคุณหญิงพิมพ์แขทำให้หลานชายหนาวสะท้านทั้งอก แต่จะให้ปล่อยวางความโกรธที่สะสมมานานหลายปีภายในวันเดียว เขายังไม่ใจกว้างมากถึงขั้นนั้น
ยิ่งมียัยส้มหวานคอยตอกย้ำด้วยแล้ว...
