2
“แล้วพวกพี่ร่ำรวยนักรึ ถึงได้ดูถูกข้าถึงเพียงนี้” มณีจันทร์ผุดลุกขึ้นพลางเอ่ยถาม หล่อนคิดว่าทำไมต้องยอมให้คนพวกนี้โขกสับด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมิเคยได้ทำผิดคิดชั่วกับใครมาก่อน หล่อนแค่ถูกใส่ร้ายก็เท่านั้นเอง ในเมื่อเรามิได้ทำความผิด แล้วเหตุใดเราต้องกลัวด้วยเล่า
“หน็อย นังสารเลว! กล้าดูถูกว่าพวกข้าจนจนเยี่ยงนั้นรือ แบบนี้มันต้องตบสั่งสอนเสียให้เข็ดหลาบ”
“อย่าทำอันใดข้านะ ข้าก็แค่เตือนสติพวกพี่ว่าพวกพี่เองก็มิได้รวยไปกว่ากัน อย่ามาดูถูกกันนักเลย”
“อย่าทำอันใดเช่นนั้นรือ ได้... อย่าทำครั้งเดียว แต่ทำหลายครั้ง” ฝ่ามือพิฆาตของเหล่าบรรดาคนใช้ตบตีเข้าตรงซีกแก้มของมณีจันทร์ซ้ายขวาเต็มแรง ทำเอามณีจันทร์ถึงกับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จะดิ้นสู้ก็ทำมิได้เพราะโดนล็อกแขนล็อกขาเอาไว้ เป็นเป้าให้โดนตบฉาดใหญ่
“โอ๊ย!” มณีจันทร์ร้องด้วยความเจ็บ ใบหน้าหันไปตามแรงตบ หล่อนเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะตบอีก จึงรีบหลบ ทำให้ฝ่ามือพิฆาตของพุดซ้อนฟาดเข้าที่ซีกแก้มของนังบัวเต็มแรง
“โอ๊ย! เจ็บนะนังพุดซ้อน ทำไมเอ็งตบมิดูตาม้าตาเรือเยี่ยงนี้” บัวร้องด้วยความเจ็บเพราะพุดซ้อนมือหนักเหลือเกิน
“ก็มันหลบ ข้าก็มิทันมอง ข้ามิได้ตั้งใจจะตบเอ็ง แต่คราวนี้แหละ นังบัวเอ็งจับนังมณีจันทร์เอาไว้ให้มั่น ๆ เลย วันนี้ข้าจะตบเอ็งให้หน้าแหก นังเพื่อนเลว นังเพื่อนทรยศ ทำร้ายเพื่อนได้ลงคอ” พุดซ้อนฟาดฝ่ามือลงบนซีกแก้มของมณีจันทร์มิยั้ง มณีจันทร์ร้องด้วยความเจ็บ ใบหน้าชาไปหมดทั้งแถบ
“ทำอันใดกันอยู่!” เสียงเข้มของแสนทำให้บ่าวไพร่ทุกคนหันไปมอง ก่อนจะผลักร่างของมณีจันทร์จนกระเด็น
“เปล่าเจ้าค่ะคุณแสน พวกเรากำลังจะช่วยกันขนน้ำแต่แม่หญิงมณีจันทร์บอกว่ามิต้องช่วย พวกเราจึงจะไปแล้วเจ้าค่ะ” พุดซ้อนรีบโกหกคำโต
“บ่าวไพร่ในเรือนของพี่แสนรือเจ้าคะ” ประโยคที่เอ่ยถามขึ้นมา จากแม่หญิงคนหนึ่งที่เดินตามแสนมาด้วย ทำให้ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“แม่หญิงปานวาด! พวกเอ็งเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่” พุดซ้อนอุทานเสียงดังลั่นเรือน
“เห็นเหมือนกันเลยนังพุดซ้อน ผะ... ผีหลอก” ทุกคนกำลังจะวิ่งกันป่าราบ แต่แสนรีบห้ามเอาไว้เสียก่อน
“พวกเอ็งใจเย็น ๆ ก่อนนี่มิใช่ผี แต่เป็นแม่หญิงดวงใจ ข้าช่วยนางเอาไว้จากโจรป่า จึงพากลับมาพักอาศัยอยู่ที่เรือนด้วย”
“จริงเหรอคะคุณแสน” พุดซ้อนเอ่ยถามเหมือนมิอยากจะเชื่อว่าคนเราจะหน้าตาเหมือนกันได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่มิได้เป็นฝาแฝดกัน
“จริงสิ นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ถูกโจรป่าฉุดไป พ่อแม่นางตายหมดแล้ว ข้าก็เลยพามาอยู่ด้วยกันที่นี่”
แสนเอ่ยบอกบ่าวไพร่ในเรือน หันไปยิ้มอย่างมีความหมายกับหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง ทำให้หลายคนขยี้ตาเพ่งมองอีกครั้ง ดูอย่างไรแม่หญิงตรงหน้าก็เหมือนแม่หญิงปานวาดราวกับเป็นคนคนเดียวกัน
ยิ่งมณีจันทร์นั้นยิ่งตกตะลึง ยิ่งกว่าเห็นผี ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดไปหมด
“ต่อไปแม่หญิงดวงใจจะมาอยู่ที่เรือนกับข้า ขอให้พวกเอ็งทุกคนจงเคารพแม่หญิงดวงใจประหนึ่งข้า และดูแลปรนนิบัตินางให้ดีมิได้ขาด” สิ้นประโยคนั้น บ่าวไพร่ก็พากันรับคำในทันที
“เจ้าค่ะคุณแสน”
มณีจันทร์มองแล้วมองอีก เยี่ยงไรแม่หญิงผู้นี้ก็คือแม่หญิงปานวาดเพื่อนของหล่อน แต่เหตุใดจึงกลายเป็นแม่หญิงดวงใจไปได้ ยิ่งคิดหล่อนก็ยิ่งมิเข้าใจ
หากปานวาดนั้นมีพี่น้องฝาแฝดก็ว่าไป แต่นี่มิใช่ ปานวาดมิมีพี่น้องฝาแฝดที่ไหน
“แม่หญิงดวงใจอาจจะหน้าเหมือนแม่หญิงปานวาดก็จริง แต่คนละคนกัน เพราะแม่ปานวาดได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นมิต้องสงสัยไปดอก เพราะแม่หญิงดวงใจก็คือแม่หญิงดวงใจ หาใช่แม่หญิงปานวาด” ประโยคของแสนทำให้ทุกคนกระจ่างแจ้งในใจ คิดว่าคนเราคงหน้าเหมือนกันได้ แต่ที่แปลกใจก็คือมิได้เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ใยหน้าถึงเหมือนกันราวกับแกะเช่นนี้
“แม่มณีจันทร์ เอ็งตามข้าขึ้นเรือนบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจักให้เอ็งดูแลแม่หญิงดวงใจ นางเดินทางมาด้วยความเหนื่อย แถมยังพลัดถิ่นมาอีก เจ้าก็ควรจักดูแลนางให้ดี” ประโยคนั้นของแสนทำให้มณีจันทร์จำต้องรับคำอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
“เจ้าค่ะพี่แสน” มณีจันทร์เหลือบมองหญิงสาวที่มองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายยิ้มหวานให้หล่อน สีหน้าท่าทีเหมือนมิรู้จักกันมาก่อน ท่าทางก็มิเหมือนปานวาด มณีจันทร์จึงบอกตัวเองว่าอาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนอย่างที่แสนบอกก็เป็นได้
มณีจันทร์พาดวงใจไปดูห้องพัก จัดการดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ปานวาดในคราบของดวงใจชวนคุยโน่นคุยนี่ ก่อนจะเอ่ยถามว่าแสนมีครอบครัวแล้วหรือยัง
“พี่แสนออกเรือนรึยังจ๊ะแม่มณีจันทร์”
“พี่แสนยังมิได้ออกเรือนเจ้าค่ะแม่หญิงดวงใจ” มณีจันทร์เอ่ยตอบ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับปานวาดราวเป็นคนคนเดียวกัน
“จริงรึ เอ็งมิได้หลอกข้าใช่รึไม่” คนพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สีหน้าเพ้อฝัน
“จริงเจ้าค่ะ” มณีจันทร์ยืนยันอีกครั้ง นึกสงสัยว่าเหตุใดคนตรงหน้าถึงอยากรู้นักหนาว่าแสนออกเรือนแล้วหรือยัง
“ต่อจากนี้ไป ข้าจะให้เอ็งมารับใช้ข้า ได้รึไม่”
“ข้าแล้วแต่พี่แสนเจ้าค่ะ” มณีจันทร์ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ อาจเพราะหล่อนเป็นเพียงผู้อาศัยจึงมิอาจตัดสินใจอันใดได้ แสนจะให้อยู่ให้ไป หล่อนก็ต้องทำตามอย่างมิบิดพลิ้ว เพราะมารดาของแสนรับหล่อนมาอุปการะเอาไว้ด้วยความเวทนาว่าหล่อนเป็นเด็กกำพร้าเท่านั้น
“พี่แสนใจดี หากข้าเอ่ยขอ เช่นไรก็ต้องยอมส่งเจ้ามาให้รับใช้ข้าอย่างแน่นอน เจ้าว่าจริงรึไม่” ประโยคนั้นทำให้มณีจันทร์ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ นางพูดถูก เช่นไรแสนก็ต้องกดหัวหล่อนมิให้เผยอขึ้นมาเทียบใครในเรือนได้
“นั่นหน้าไปโดนอันใดมารือแม่มณีจันทร์” ดวงใจเอ่ยถาม เมื่อเห็นใบหน้าที่ปรากฏรอบแดงตรงซีกแก้มของมณีจันทร์
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“เหมือนโดนตบตีทำร้ายมาเลย ไหนให้ข้าดูซิ”
“อุ๊ย!” มณีจันทร์อุทาน
“แก้มแดงช้ำไปหมด ปากแตกด้วยนี่ บ่าวไพร่ในเรือนนี้มิชอบเอ็งรึไง ถึงได้รุมรังแกเอ็งเยี่ยงนี้” ดวงใจเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“มิมีอันใดอกเจ้าค่ะ บ่าวซุ่มซ่ามเลยหกล้มน่ะเจ้าค่ะ” มณีจันทร์ปดคำโต
“มิมีอันใดก็ดีแล้ว ข้ามิเซ้าซี้เอ็งแล้วละ ข้าอยากพักผ่อน เอ็งออกไปได้แล้ว ถึงเวลาอาหารคราใด เอ็งค่อยมาเรียกข้าก็แล้วกัน” นางโบกไม้โบกมือให้มณีจันทร์ออกไปจากห้องพัก
มณีจันทร์ทำตามอย่างว่าง่าย พอออกมาหน้าห้องก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อชนเข้ากับร่างสูงของแสน
“อุ๊ย! พี่แสน” หล่อนถึงกับเซ กำลังจะเบี่ยงหลบเมื่อเขาเดินเข้าหาแต่ร่างน้อยถูกกระชากเข้าไปปะทะกับอกกว้างของเขาเสียก่อน
“เจ้าดูแลแม่หญิงดวงใจดีรึไม่” แสนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ข้าดูแลอย่างดีเจ้าค่ะ พี่แสนมิต้องเป็นกังวลไปดอก” มณีจันทร์รีบเอ่ยตอบแสนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจักทำร้ายแม่หญิงดวงใจอีก มิเช่นนั้นข้าจักจัดการเจ้าอย่างสาสม มิให้เจ้ามายืนลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นนี้อีก”
“ข้ามิเคยคิดที่จักทำเช่นนั้นเลย ข้าเคยบอกท่านไปแล้วตั้งหลายครั้ง” หล่อนโดนผลักจนเซอีกรอบ ก่อนจะรีบเอ่ยกับเขาด้วยปากคอสั่นเทา แต่เขาก็หาได้เชื่อหล่อน