บทที่ 7 ลูกๆ มากินข้าวให้อิ่มจะได้มีแรงต่อสู้
เอี๊ยด……
พอฝูหยุนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมยาวเปียกปอนปล่อยสยายลงมา แล้วออกจากห้องไป
จู่ ๆ หลิงจิ่งก็ร่างกายแข็งทื่อ มือค่อย ๆ เคลื่อนไปอยู่ตรงหลังเอว แล้วจ้องเขม็งไปที่ฝูหยุนที่อยู่ตรงหน้า
แน่นอนว่าฝูหยุนนั้นมองเห็นพฤติกรรมเล็ก ๆ ของเขาแล้ว ฝีเท้าหยุดลง ส่งยิ้มให้เล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “อาจิ่ง เสื้อผ้าของน้องอยู่ไหน?”
หลิงจิ่งนิ่งอึ้งไปเลย นางไม่ได้มาสั่งสอนตัวเองหรือ?
“ถ้าไม่บอกข้า ข้าก็จะรื้อค้นไปเรื่อยแล้วนะ” ฝูหยุนเดินผ่านหลิงจิ่งไป มาถึงห้องนอนอีกห้อง
หลิงหานโจวกับลูกทั้งสองนอนห้องเดียวกัน แน่นอนว่าเสื้อผ้าก็ต้องเก็บไว้ในห้องนี้
หลี่ชุ่ยฮวาไม่เคยสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของลูก ๆ แน่นอนว่าต้องไม่รู้ว่าเก็บไว้ตรงไหน
นางได้แต่รื้อค้นในตู้ไปเรื่อย
“ตรงนั้น……ตรงชั้นล่างสุด” น้ำเสียงเบา ๆ ของหลิงจิ่งดังลอยมา
“ขอบใจ ข้ามองเห็นแล้ว”
ฝูหยุนเองก็มองเห็นเสื้อผ้าสีแดงชมพูพอดี และเลือกตัวที่ค่อนข้างหนาหน่อยออกมา
ก่อนออกไป ยังขยี้หัวเล็ก ๆ ของหลิงจิ่งเล็กน้อย
หลิงจิ่งเกือบจะชักเคียวออกมาแล้ว!
“มือเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? จะต้องทายาหรือเปล่า?” ฝูหยุนยิ้มจาง ๆ ขึ้นมา
หลิงจิ่งนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มือกำเคียวไว้แน่น แต่ไม่ได้ถอยหลังไป และไม่ได้พูดอะไร
ฝูหยุนส่ายหน้าขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย แล้วก็กลับห้องไป
ตอนใส่เสื้อผ้าให้ลูกสาวนั้น ตัวนางสั่นเทาไปทั้งตัว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะหนาวหรือเพราะว่ากลัว
ฝูหยุนได้แต่ปลอบประโลมเสียงเบาขึ้นว่า “เสี่ยวเสวี่ยไม่ต้องกลัวนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ตีพวกเจ้าอีกแล้ว”
พอใส่เสื้อผ้าเสร้จ หลิงเสวี่ยก็กระโดด“ตุ๊บ”ลงจากเตียงไปเลย แล้ววิ่งเท้าเปล่ากลับห้องตัวเองไปเลย
หลิงจิ่งเองก็เข้าห้องไปด้วย แล้วปีนขึ้นเตียงไป “เสี่ยวเสวี่ย เมื่อกี้นางรังแกเจ้าหรือเปล่า?”
“เปล่า” หลิงเสวี่ยพูดเสียงอ่อนขึ้นมา “ท่านพี่ นางบอกว่า จะไม่ตีพวกเราอีกแล้ว”
“อย่าไปเชื่อนาง! ท่านพ่อเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อวาน นางก็ไปหาชายชู้เลย พวกเราไม่ต้องการแม่แบบนี้หรอก!” หลิงจิ่งกัดฟันกลอก
ฝูหยุนได้ยินแล้ว
เมื่อวานตอนบ่ายที่หลี่ชุ่ยฮวาเข้าตำบลไปนั้น ได้ไปหาชายชู้จริง ๆ
แต่พอนางไปปรากฏตัวหน้าประตูบ้านตระกูลเซียว ยังไม่ทันได้เอะอะโวยวายเลย ก็ถูกบ่าวของตระกูลเซียวตีจนหมดสติ แล้วเอาไปโยนทิ้งไกลจากตำบลสองลี้
นอนหมดสติจนถึงรุ่งเช้า พอตื่นขึ้นมาแล้วกำลังจะกลับ ก็พบกับโจรพวกนั้นเขา แล้วก็ต้องอยู่ที่นั่นไปตลอดกาลเลย
ดูท่า เรื่องที่ไม่ได้กลับมาทั้งคืนนั้น นางคงต้องหาโอกาสที่เหมาะสมสักครั้ง มาช่วยแก้ต่างให้ตัวเองดี ๆ สักรอบ
ในห้องครัว ไฟในเตาได้ดับมอดไปแล้ว
ดีที่ก่อนไปไม่ได้เติมฟืนไว้มากมาย หม้อจึงยังไม่ไหม้
ฝูหยุนใช้ตะเกียบคีบมันฝรั่งออกมา แล้ววางไว้ในถ้วยใหญ่ จากนั้นก็เติมน้ำมันหมูก้อนเล็ก ๆ ลงไป แล้วใช้ช้อนบดให้กลายเป็นมันบด กวาดมันบดที่ติดอยู่ตามขอบลงมา
แล้วใช้เกลือและซอสถั่วเหลือบวกกับน้ำ มาปรุงเป็นซอสง่าย ๆ ราดไว้ด้านบน
ตรงมุมกำแพงมีโถดินเผาอยู่อันหนึ่ง เป็นยอดหลิวที่หลิงหานโจวดองไว้ก่อนหน้านี้ ล้วงออกมาถ้วยหนึ่ง ก็ถือว่ามีกับข้าวสองอย่างแล้ว
ฝูหยุนตักข้าวเทลงไปในกระทะเล็ก แล้วใส่น้ำมันหมูลงไปก้อนหนึ่ง บวกกับซอสถั่วเหลืองเล็กเล็กน้อย กับเกลืออีกหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากันก็กลายเป็นข้าวคลุกซอสถั่วเหลือแล้ว
พอยกอาหารมาถึงห้องโถง เด็กทั้งสองคนยังพึมพำอะไรกันอยู่ในห้อง
“อาจิ่ง เสี่ยวเสวี่ย กินข้าวได้แล้ว” ฝูหยุนผลักประตูดู กลับพบว่าประตูถูกปิดไว้จากด้านใน นางจึงได้แต่ตะโกนเสียงดังขึ้น
เจ้าของร่างเดิมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้ว นางจึงรู้สึกหิวจนหมดเรี่ยวแรงไปทั้งตัวแล้ว ในกระเพาะมีแต่กรดเกินแล้ว
เด็กทั้งสองคนทำเหมือนกับไม่ได้ยิน ไม่มีการตอบแม้แต่คำเดียว
“ถ้าพวกเจ้าไม่กิน ข้าก็จะกินคนเดียวแล้วนะ”
พูดว่าจะกินคนเดียว แต่นางก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ กินเข้าไปคำหนึ่ง ก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า “ว้าวหอมจังเลย!”
“ข้าวเปล่านี่หอมจริง ๆ โดยเฉพาะข้าวเปล่าที่คลุกกับน้ำมันหมู อร่อยจนหยุดไม่ได้เลย”
“แล้วก็มันบดนี่เข้าปากก็ละลายเลย น่าเสียดายจริง ๆ ตอนหลังเหลือมันฝรั่งแค่ไม่กี่ลูกนี่ ยังกินไม่สะใจเลยจริง ๆ”
จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ……
ในห้อง หลิงเสวี่ยจ้องมองไปที่หลิงจิ่ง แล้วกลืนน้ำลายลงคอ “ท่านพี่ ข้าหิว”
“เสี่ยวเสวี่ย พวกเราห้ามกิน นางจะต้องวางยาพิษฆ่าเราแน่ ๆ!”
“แต่ว่า……” เด็กสาวจ้องมองไปที่ประตูอย่างน่าสงสาร
นางหิวมากจริง ๆ หิวอย่างบรรยายไม่ถูกเลย
“อ๋อ ใช่แล้ว อาจิ่ง” เสียงของฝูหยุนดังลอยมาจากข้างนอกอีกครั้ง “ถ้าเจ้าไม่กินข้าวให้อิ่ม เดี๋ยวเจ้าเด็กอ้วนนั่นมาแก้แค้น เจ้าต้องสู้เขาไม่ไหวแน่”