10. โรคระบาด
"ได้สิเดี๋ยวพี่จะต้มให้กินเจ้าก็เอาสมุนไพรไปล้างเถอะจะได้เอามาผื่งไว้"
หยางลี่ทำตามที่ผู้พี่บอก กลิ่นของบะหมี่ส่งกลิ่นหอมเช่นทุกครั้งที่ทำ ทำให้กลุ่มคนที่กำลังเดินผ่านบ้านหลังนี้ ที่อยู่เชิงเขาและมีบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่หลัง ต่างก็ต้องหยุดลงเพราะความหิว
" หัวหน้ากลิ่นหอมนี้ทำข้าน้ำลายสอแล้ว"
"นั้นสิกลิ่นเหมือนน้ำต้มบะหมี่เลย"
อี้ฟานยืนนิ่งคิดในใจหากเดินเข้าไปก็คงจะไม่ดีแน่ แต่ในขณะนั้นกลับเห็นเด็กสาวที่พบบนเขายืนมองอยู่ด้วยความสงสัย ก่อนที่เด็กสาวจะเอ่ยเรียกอีกคนออกมา
"พี่ฮุ่ยหรานทหารกลุ่มนั้นมายืนที่หน้าบ้านเราทำไมกัน"
"มีอะไรหรือหยางลี่"
ฮุ่ยหรานมองออกไปด้านนอก ก่อนจะเดินตรงไปหาทหารที่แต่งตัวธรรมดากลุ่มนี้ และเอ่ยถามออกไป
"ใต้เท้ามีอะไรที่ยังสงสัยข้าน้อยและน้องสาวอยู่อีกหรือเจ้าค่ะ"
"พวกข้าหิว ได้กลิ่นอาหารจากเรือนของเจ้าก็เลยไปต่อไม่ได้"
อี้ฟานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฮุ่ยหรานเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา จนทำให้ทหารทั้งสิบนายต่างก็ยืนมองตาเป็นตาเดียว
"ถ้าเช่นนั้นก็เข้ามาก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดว่าบะหมี่น่าจะมีพอสำหรับพวกท่านทุกคน"
ฮุ่ยหรานเอ่ยออกไปเช่นนั้น จึงทำให้หยางลี่รีบเอ่ยออกมาเสียงดัง
" พี่ฮุ่ยหรานข้าไม่แบ่งของข้าให้กับพวกเขาหรอกนะ ข้าเป็นเด็กข้าต้องกินให้มาก"
คำพูดของเด็กสาววัย 15 ปีสร้างความขบขันให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก อี้ฟานเดินตามฮุ่ยหรานเข้าเขตบ้านไป ก่อนจะหันมาเอ่ยกับคนของตน
" พวกเจ้าหาที่นั่งให้เป็นระเบียบ แค่นี้ก็รบกวนเจ้าของบ้านมากแล้ว"
"ขอรับหัวหน้า"
หยางลี่ยืนมองคนตัวโตที่ถือดาบอยู่ในมือไม่ปล่อย แม้จะเป็นชายหนุ่มที่ไว้หนวดเล็กน้อย แต่นั้นยิ่งทำให้คนผู้นี้มีเสน่ห์มากขึ้น อี้ฟานหันไปเจอสายตาของเด็กสาวก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ใช่ว่าจะไม่เคยเจอใครที่มองเช่นนี้ แต่นั้นก็เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้จะอายุน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้เด็กมากเช่นนี้
"สงสัยสาวน้อยผู้นี้จะหลงเสน่ห์หัวหน้าของเราเข้าแล้วล่ะ"
"นั้นสิ จ้องหัวหน้าขนาดนี้ข้าว่าไม่น่ารอด"
เสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ จนอี้ฟานหันไปมอง จนลูกน้องต่างก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานบะหมี่ก็ถูกยกออกมาจากในครัว
"ว่างไว้เถอะยังมีอีกหรือไม่ข้าจะใหคนของข้าไปยกมา"
"อยู่ด้านในเจ้าค่ะ"
ได้ยินดั่งนั้นทหารที่นั่งอยู่ก็เดินไปยกชามบะหมี่ออกมาจนครบทุกคน ทหารทั้งสิบนายต่างก็เอร็ดอร่อยกับบะหมี่จนอิ่มกันทั่วหน้า ก่อนที่จะออกจากบ้านของหญิงสาว อี้ฟานก็ส่งเงินจำนวนหนึ่งให้ไว้
"นี่เป็นค่าบะหมี่เจ้ารับไว้เถอะ"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ได้ช่วยเป็นส่วนหนึ่งของกำลังพลข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ"
"ฮึ มีคนเช่นเจ้ามากๆคงจะดี แต่รับไว้เถอะไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่กล้ารบกวนอีกแน่ ข้าชอบบะหมี่ที่เจ้าทำ"
"ข้าก็ชอบ แล้วก็ชอบมากด้วยเจ้าทำบะหมี่อร่อยจริงๆ"
นายทหารผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น หยางลี่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็คว้าถุงเงินมาทันที
"พี่ฮุ่ยหรานไม่รับ แต่ข้ารับเพราะข้าคือคนซื้อของพวกนี้ แล้วถ้าหากพวกท่านมาอีก จะได้มีอาหารให้พวกท่านกินอีก"
ฮุ่หรายมองหยางลี่อย่างเอ็นดู ร่วมถึงกลุ่มทหารกลุ่มนี้ ที่ขบขันกับคนเห็นแก่เงินที่ยกเหตุผลต่างๆมาอ้าง อี้ฟานจึงได้กล่าวลาและกลับค่ายทหาร
"พวกเจ้าไปลาดตระเวนกันถึงไหน ไม่หิวกันหรือไง"
จงฟานเอ่ยถามสหายที่ร่วมรบของตนขึ้นเมื่อเห็นว่าหายไปนาน
"พวกเราไปลาดตระเวนกันทางใต้ของเมือง จึงทำให้ล่าช้า แต่ก็กินอะไรมาบ้างแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่ทัพอยู่ที่ใดข้าจะไปรายงานเสียหน่อย"
"หารือกับแม่ทัพจ้าวในกระโจม"
อี้ฟานเดินตรงไปที่กระโจมหลังใหญ่ ซึ่งมีไว้สำหรับหารือในการโจมตี ด้านในยังมีเหล่านายกองและหัวหน้าหน่วยของแต่ละหน่วยยืนหารืออยู่ด้วยเช่นกัน
"เจ้ามาแล้วหรือ ลาดตระเวนเป็นอย่างไรบ้าง"
เหยียนจวิ้นเอ่ยถามคนของตนทันที
"ทางใต้ดูเงียบสงบขอรับ แต่ข้าน้อยคิดว่ามันดูเงียบจนเกินไปขอรับ"
"อย่างไรกันที่ว่าเงียบจนเกินไปข้าไม่เข้าใจ"
แม่ทัพจ้าวเอ่ยถามทันที
"ทางใต้น่าจะเป็นเส้นทางที่ฝั่งนั้นรอบเข้ามาได้ง่ายที่สุด เพราะมีป่าทึบที่ติดกับชายแดนขอรับ หากรอบเข้ามาทางนี้พวกมันคงบุกเข้าเมืองได้ไม่ยาก แต่กลับดูเงียบไร้ทหารจากฝั่งนั้น"
อี้ฟานมองหน้าผู้เป็นนายของตน เหยียนจวิ้นจึงเอ่ยออกมา
"ทางนั้นอาจจะคิดไม่ได้ว่าหากเขามาทางใต้ก็จะง่ายกว่า หึเช่นนี้แล้วเราก็ไม่ต้องระวังอะไรมาก ข้าจะส่งคนไปสอดแหนมทางทิศเหนืออีกทาง พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน"
เหยียนจวิ้นหันไปเอ่ยกับคนของตน ก่อนที่จะหารือกันต่ออีกเล็กน้อยก็แยกย้ายกันไป อี้ฟานเดินตามผู้เป็นนายของตนเข้าไปในกระโจม
"เจ้าคิดว่ามีคนของฝั่งนั้นอยู่ในค่ายของเราเช่นนั้นหรือ"
"ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าเห็นมีรอยเท้าจำนวนมาก พวกมันคงมาสำรวจหลายครั้งแล้ว แต่หน้าแปลกใจที่มันยังไม่โจมตีเรา"
อี้ฟานเอ่ยขึ้น จงฟานจึงบอกข่าวที่ตนได้รับมาจากฝั่งนั้น
" ข้าน้อยคิดว่าที่ฝั่งนั้นยังไม่บุกเข้ามา คงเป็นเพราะตอนนี้กำลังมีโรคระบาดขอรับ เห็นว่ามีทหารล้มป่วยจำนวนมาก แต่พวกนั้นปิดเรื่องไว้"
จงฟานเอ่ยขึ้น จึงทำให้เหยียนจวิ้นคิดได้ว่าก่อนนี้ก็เหมือนจะได้ยินมาเช่นกัน
"ข้าเหมือนจะได้ยินนายกองคุยกับคนสนิทเช่นนั้นเหมือนกัน จงฟานจับตาดูนายกองของแม่ทัพจ้าวให้ดี คนที่เป็นไส้ศึกอาจจะเป็นนายกองผู้นี้ก็ได้"
"ขอรับท่านแม่ทัพ"
เมื่อหารือกันเสร็จแล้วคนสนิททั้งสองของเหยียนจวิ้น ก็เดินออกจากกระโจมไป ทิ้งให้ผู้เป็นนายนั่งอยู่คนเดียว เหยียนจวิ้นจู่ๆก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมา
"พี่คิดถึงเธอไลลา ชีวิตที่เหลือในยุคนี้พี่จะแก้ไขความผิดพลาด ที่พี่ทำในยุคปัจจุบัน มาเฟียคนนี้จะปกป้องบ้านเมือง เพื่อตระกูลซื่อในวันข้างหน้า จะได้ไม่มีคนคิดทำเลวแบบพี่อีก หลงจวิ้นตายไปแล้ว เหลือเพียงแม่ทัพเหยียนจวิ้นเท่านั้นนับจากนี้ไป พี่จะไม่มีวันลืมเธอไลลา"
เหยียนจวิ้นเอ่ยกับตนเอง ก่อนที่จะเดินออกไปเพื่อออกไปลาดตระเวนกับคนของตนเช่นทุกวัน
นับจากที่ทัพของเหยียนจวิ้นมาถึง นี่ก็ร่วมสามเดือนแล้ว ก็ยังไม่มีการลุกล้ำจากอีกฝั่งเลยสักครา
"นี่ก็สามเดือนแล้วนะขอรับ ดูเหมือนว่าทางนั้นยังกำจัดโรคระบาดนี้ไม่ได้อีก หากปล่อยไว้เช่นนี้ทหารของเราอาจจะแย่นะขอรับ หากเกิดติดโรคระบาดนี้"
จงฟานเอ่ยกับผู้เป็นนายที่นั่งอยู่กับแม่ทัพจ้าว ก่อนนี้นายกองของท่านแม่ทัพจ้าว พร้อมคนสนิท ถูกจับแขว้นคอไปแล้วด้วยข้อหากบฏต่อบ้านเมือง ริเป็นไส้ศึกส่งข่าวให้ทางแคว้นซางยู่ว จึงทำให้ทางนั้นไม่ได้ข่าวจากทางนี้ไปอีก
"เตรียมยาเตรียมหมอเอาไว้ให้พร้อม หากโรคระบาดนี้มาถึงเราเมื่อไหร่ อย่างน้อยเราก็หาทางแก้ได้ก่อน ที่จะเกิดล้มตายมากกว่าฝั่งนั้นใจ"
"ขอรับ ข้าน้อยจะเข้าเมืองไปบอกกับหมอ ในโรงหมอให้เตรียมตัวไว้ขอรับ"
เหยียนจวิ้นและจงฟานมองตามอี้ฟานที่ดูรีบร้อนที่จะเข้าเมืองกว่าทุกครั้ง อีกทั้งพอบอกว่าให้ไปโรงหมอก็ยังอาสาเองเสียอีก
"เจ้าว่าอี้ฟานดูแปลกไปหรือไม่"
"นั้นสิขอรับ ดูกระตือรื้อรนที่จะเข้าเมืองเหลือเกิน"
สองนายบ่าวพูดคุยกัน ก่อนที่จะกระจ่างขึ้นเมื่อลูกน้องของอี้ฟานเอ่ยบอกออกไป แต่ก็ต้องรีบหุบปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอ่ยถึงคำต้องห้ามขึ้นมา
"จะไม่ให้หัวหน้ารีบได้อย่างไรกันล่ะขอรับ คงจะรีบไปกินบะหมี่แสนอร่อยของท่านหมอเป็นแน่ขอรับ อุ้บ"
เมื่อรู้ว่าตนเอ่ยคำต้องห้ามออกมาก็ต้องรีบเอามือปิดปากทันที จงฟานและแม่ทัพมองหน้ากัน ก่อนที่เยียนจิ้นจะเอ่ยถามออกไปเพราะสงสัย
"ท่านหมอทำบะหมี่เช่นนั้นหรือ หมอผู้นั้นเป็นใครชื่ออะไร"
"ท่านหมอเป็นหมออยู่ที่โรงหมอขอรับ ชื่อ"
"ท่านแม่ทัพแย่แล้วขอรับ ทหารของเราติดโรคระบาดเป็นแน่ขอรับ ตอนนี้ล้มป่วยไปหลายคนแล้วขอรับ"
คนที่จะเอ่ยชื่อของหมอที่พูดถึง กลับไม่ทันได้เอ่ยรองแม่ทัพของแม่ทัพจ้าวก็เข้ามาเสียก่อน เหยียนจวิ้นรีบลุกออกไปดูทหารของตนและของแม่ทัพจ้าวที่ต่างก็ล้มป่วยลงพร้อมกันหลายนาย
" คนไหนที่พอเดินไหว ให้เดินไปร่วมตัวกันทางฝั่งนั้น ส่วนคนที่คิดว่าตนเองแข็งแรง ก็ให้พาคนที่ไม่ไหวไปร่วมกับกลุ่มที่เดินไหว หาผ้าปิดจมูกของพวกเจ้าเอาไว้ ให้คนไปตามหมอในเมืองมาให้เร็วที่สุด"
เหยียนจวิ้นเอ่ยบอกเสียงดัง ก่อนจะสั่งให้จัดทำกระโจมขึ้นมาอีก
" คนไหนที่ไม่ได้เจ็บป่วย เตรียมจัดทำกระโจมที่เปิดโล่ง สำหรับคนที่ป่วยเข้ารักษาตัว ให้ทุกคนใช้ผ้าปิดปาก และล้างมือล้างตัวทุกครั้ง อย่าเอามือสัมผัสตาหรือจมูกของเจ้า อาจทำให้พวกเจ้าติดโรคระบาดได้"
เมื่อออกคำสั่งเสร็จเหยียนจวิ้นก็ช่วยทหารของตนสร้างกระโจมทันที แม่ทัพจ้าวยืนมองชายหนุ่มรุ่นลูก ที่ออกคำสั่งอย่างคนที่รอบรู้ด้วยสายตาทึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปช่วยทุกคนเช่นกัน
"ท่านหมอมาแล้วขอรับ"
เหยียนจวิ้นที่กลับเข้ามาอาบน้ำหลังจากสร้างกระโจมเสร็จ เดินออกมาก็ได้กลิ่นควันไฟ จึงได้รีบเอ่ยถามในทันที
"ควันอะไร เกิดอะไรขึ้น"
"เออ ท่านหมอสั่งให้เผาชุดที่คนป่วยใส่ขอรับ ของท่านแม่ทัพเองก็ต้องเอาไปเผาขอรับ ท่านหมอบอกว่าจะได้ไม่ทำให้โรคระบาดแพร่ไปมากกว่านี้"
เหยียนจวิ้นแม้จะรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยุคนี้อาจจะมีหมอที่รอบรู้อยู่มาก ถึงได้รู้ว่าควรทำเช่นนี้เพื่อฆ่าเชื้อโรค ตนเองนั้นแม้จะไม่ใช่หมอในยุคปัจจุบัน แต่ก็พอรู้ว่าไม่ควรให้คนป่วยอยู่ร่วมกับคนที่แข็งแรง จึงออกคำสั่งเช่นนี้ไป และให้ทุกคนอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย
"อืม เช่นนั้นเจ้าก็เอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปเถอะ ข้าจะนอนพักสักหน่อยมีอะไรก็มาเรียกข้าก็แล้วกัน"
"ท่านแม่ทัพคงไม่ได้ติดโรคระบาดด้วยใช่หรือไม่ขอรับ ข้าน้อยจะได้ให้ท่านหมอเข้ามาดูอาการ"
"ข้าไม่เป็นไร ตอนที่ยกไม้ขึ้นข้าไม่ทันระวัง มันเลยตกใส่หัวข้าเท่านั้น ข้ารู้สึกมึนๆ ไม่มีอะไรมากเจ้าไม่ต้องห่วง"