บทที่ 3 ความหลัง
ห้าปีต่อมา
นาเดียร์ยืนกอดอกคอยืดคอยาวเพื่อมองกระเป๋าสีแดงของตัวเองที่กำลังไหลออกมาจากสายพาน จนกระทั่งกระเป๋าขนาดสามสิบนิ้วยี่ห้อดังสีกระแทกตาไหลออกมาถึงหน้าเธอจึงลากมันออกมาอย่างเร่งรีบเพราะมีคนเบียดมาจากด้านหลัง
โชคดีที่เธอใช้กระเป๋าสีแดงสดอันเป็นสีที่ปกติคนทั่วไปไม่ค่อยใช้กันเธอจึงไม่ต้องเสียเวลาหากระเป๋าของตัวเองนานนัก เมื่อเดินออกมาจนกระทั่งออกมาถึงประตูทางออกที่มีคนมาคอยรับผู้โดยสารจอแจ แต่ว่าในผู้คนจำนวนมากนี้ไม่มีคนของเธอเลยแม้แต่คนเดียว
ก็แน่ล่ะ เพราะเธอกลับมาโดยที่ไม่บอกใคร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ ๆ พ่อของเธอก็ล้มในห้องน้ำ ทำให้ศีรษะกระแทกและตอนนี้เขากลายเป็นชายพิการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ปัญหาเกิดขึ้นเพราะว่าเธอคือคนที่พ่อระบุว่าคือรองประธานที่มีอำนาจเต็มในการบริหารงานบริษัทแทนเขา
เพราะแบบนี้ทำให้เลขาของพ่อรวมทั้งกรรมการหลายคนตามหาตัวเธอให้ว่อนเพื่อมาเซ็นเอกสารมอบอำนาจในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เรื่องนี้ทำให้นาเดียร์ประหลาดใจ พ่อเป็นคนไล่เธอและตัดขาดเธอจากการเป็นลูกสาว ทำไมเขาถึงได้ยังคงมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอล่ะ
หรือว่าสมองของผู้ชายคนนั้นเพี้ยนไปแล้ว
หลายปีมานี้นาเดียร์ใช้ชีวิตที่อังกฤษอย่างยากลำบาก หลังจากตัดขาดทุกสิ่งในชีวิตวันนั้นเธอใช้เวลาไม่ถึงสามวันก็ตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองไทย ไปเริ่มต้นใหม่ที่อังกฤษ
เธอไม่ได้ไปพบกับขุนพลหลังจากที่ยอมรับความจริง ว่าสุดท้ายเธอก็ถูกผู้ชายคนนั้นหักหลัง เขายอมรับด้วยตัวเองว่าเขามีผู้หญิงคนนั้น หากเธอเลือกที่จะไปเขาก็ไม่รั้งไว้ เพราะเขาคือคนผิดเอง
นาเดียร์เลือกที่จะเดินออกมาจากชีวิตผู้ชายคนนั้น แต่เธอกลับเหมือนถูกทิ้งเสียเอง ถูกแฟนหักหลังถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน และไม่รู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นฆาตรกรฆ่าคนหรือเปล่า ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในห้องไอซียู
เธออยากไปเยี่ยมเด็กที่โรงพยาบาล แต่สายตาของพ่อในวันนั้นทำให้เธอไม่กล้า วันทั้งวันจึงเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่ติดต่อใครอีก และก็ไม่มีใครตามหาเธอเช่นกัน
หลายครั้งที่นาเดียร์คิดสั้น แต่เมื่อคิดถึงแม่ตอนที่ยังมีชีวิต ทำให้นาเดียร์มีสติ
เพราะหนูคือของสำคัญของแม่ แม่แค่หวังให้หนูใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม่รักหนูนะลูก แม่ไม่ได้หวังให้หนูรักแม่ตอบแทน ขอแค่หนูรู้จักรักตัวเองก็พอ
คำ ๆ นี้ของแม่ทำให้เธอรู้สึกผิดหากจะทำลายชีวิตของตัวเองลง
แต่วันนั้นเป็นวันที่เธอตัดสินใจโทรหายายที่อังกฤษ คนแก่สองคนที่เป็นญาติที่หลงเหลืออยู่และเป็นสายใยที่ทำให้เธอยังรู้สึกว่าแม่ยังอยู่ตรงนี้ คนที่เธอลืมไปแล้วว่ามีพวกเขาอยู่
เธอเคยไปหาตากับยายพร้อมกับแม่ทุกปี ในตอนที่แม่ยังอยู่ แต่หลังจากแม่จากไปเธอก็ไม่เคยติดต่อพวกเขาอีก ในตอนที่เธอโทรหานั้นเหมือนว่าตากับยายจะรู้ว่าเธอกำลังทุกข์ใจ พวกเขากลัวว่าจะไม่ได้พบเธออีกก่อนที่พวกเขาจะตายไป ที่แท้คนแก่สองคนนั่นก็ยังรอเธออยู่เสมอ
"ถ้าอยู่เมืองไทยทำให้นาเดียร์ทุกข์ใจ ก็มาอยู่กับตายายที่นี่ดีหรือเปล่า"
นี่คือสิ่งที่คนสองคนพูด ในตอนนั้นนาเดียร์จึงตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งการเรียนในปีสุดท้ายเธอก็ไม่สนใจ ชีวิตใหม่ของเธออยู่ที่อีกฟากหนึ่งของโลก ชีวิตที่ไม่มีพ่อ ไม่มีผู้ชายเฮงซวยคนนั้นอีกต่อไป
หลังจากมาถึงลอนดอนนาเดียร์ไม่ได้เรียนต่อ เธอใช้ชีวิตอยู่บ้านหลังเล็กของตายาย และไปทำงานในร้านอาหารไทยเพื่อลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อที่จะลืมความเจ็บปวดเธอจึงทำงานหนักเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง
สองปีต่อมาตาของเธอก็เสีย และอีกหนึ่งปีต่อมายายของเธอก็ป่วยและตายตามไป ความสุขที่ยังพอเยียวยาเธอได้จากไปแล้ว นาเดียร์จึงต้องอยู่คนเดียวแม้จะไม่ลำบากนักเพราะตากับยายยกเงินประกันชีวิตของตนเองให้เธอเป็นทายาทผู้รับมรดก ในตอนนั้นเจ้าของร้านอาหารไทยที่เธอทำงานมาหลายปี อยากขยายกิจการนาเดียร์ได้เงินประกันชีวิตของตาและยายเธอจึงตัดสินใจลงทุนร่วมกับเจ้าของร้านคนนี้
แม้ว่าเธอจะเรียนไม่จบ แต่นาเดียร์ก็ยังเป็นคนเก่งและฉลาด เธอบริหารร้านได้เป็นอย่างดี ธุรกิจเล็ก ๆ ของเธอประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ถึงจะเจอปัญหามากมายแต่ฝ่าฟันมาได้จนถึงตอนนี้นาเดียร์ก็ภูมิใจแล้ว
พ่อไม่เคยตามหาเธอ และเธอก็ไม่รู้ข่าวของเขาอีก นับตั้งแต่ได้รู้ว่าแม่เลี้ยงของเธอไม่ตาย ยังช่วยเด็กในท้องของผู้หญิงคนนั้นได้นาเดียร์ก็รู้สึกราวกับมีใครยกก้อนหินหนัก ๆ ออกจากอก
ต่อไปคนพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเธออีก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ร้านอาหารของเธอกำลังจะปิดแล้ว ผู้ชายที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีก็เข้ามาในร้าน เขาสั่งข้าวผัดง่าย ๆ จานหนึ่งพร้อมกับน้ำเปล่า นั่งกินจนข้าวหมดจานเขาก็ไม่ยอมไป
พนักงานมาบอกกับนาเดียร์ ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ยอมขยับ นาเดียร์จึงไปจัดการด้วยตัวเอง เดิมทีเธอไม่ยอมคุยกับเขาจนกระทั่งตอนนี้ หญิงสาวถอนหายใจยาวดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกมาแล้วนั่งลงตรงหน้าเขา
ผู้ชายคนนั้นเป็นคนสูงอายุ ใบหน้าซูบตอบกว่าตอนที่เธอเห็นครั้งล่าสุดไปมาก เพราะเวลาทำให้สังขารล่วงโรย ไม่ว่าใครก็หลีกหนีไม่พ้น
"คุณอามาทำไมคะ"
สุดท้ายก็เป็นเธอที่ถามออกไป
ผู้ชายคนนี้คือเลขาของพ่อ นาเดียร์ไม่ได้มีเรื่องกับเขา เพียงแต่เห็นหน้าเขาก็พอจะดูออกว่าต้องมีเรื่องเกี่ยวกับคนที่เมืองไทย เธอจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว เลขาของพ่อยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ตอนนี้คุณนภา กำลังฟ้องหย่ากับพ่อเธอ ผู้หญิงคนนั้นไม่เอาเด็กคุณท่านเป็นห่วงคุณชายเล็กกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล"
นาเดียร์ทำท่าไม่สนใจเลยสักนิด
"แล้วยังไงคะ เงินของเขาเยอะแยะ คนพร้อมจะดูแลมากมาย ผู้หญิงคนนั้นเขายังสาวยังสวยไม่ใช่พ่อโง่เองเหรอคะที่เลือกคนแบบนั้นมาเป็นเมีย ตอนนี้ยังจะต้องการหนูอีกทำไม"
คุณณรงค์เลขาของพ่อประสานมือบนโต๊ะ แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยน
"นาเดียร์ อารู้ว่าหนูเป็นเด็กดีคงไม่ทิ้งน้องชายที่พิการไว้กับคนอื่นใช่หรือเปล่า"
นาเดียร์เม้มปาก คำว่าพิการที่หลุดออกมาจากปากของคุณณรงค์ ทำให้เธอมือสั่นทั้ง ๆ ที่ความผิดปกตินั้นไม่รู้ว่ามาจากเธอจริง ๆ หรือเปล่า แต่เธอก็มีส่วน นาเดียร์ยังหวาดกลัวเรื่องนี้ความจริงเธอรู้สึกผิดและไม่กล้าสู้หน้าเด็กคนนั้น
"เขาอาจไม่ใช่น้องหนู"
คุณณรงค์ยื่นเอกสารบางอย่างให้เธอ
"นี่หลักฐาน ลุงคิดว่าหนูจะไม่เชื่อเลยติดมาด้วย เป็นผลตรวจดีเอ็นเอยังไงก็เป็นลูกท่านประธานแน่นอน ก็หมายความว่าเป็นน้องของหนูนะ จะทิ้งน้องจริง ๆ เหรอ นาเดียร์เด็กไม่รู้เรื่อง ถึงหนูจะไม่ชอบแม่ของเขา แต่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์นะ เขาขาดพ่อ แม่ก็กำลังจะทิ้ง ยังจะขาดพี่สาวอีกน้องชายหนูเขาน่าสงสารจริง ๆ นะ"
นาเดียร์กลืนน้ำตาลงคอ
"แล้วหนูละคะ ตอนที่ถูกพ่อไล่ออกมาจากบ้าน หนูทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งเรียนไม่จบ มาอยู่ที่นี่ต้องทำงานหนักสารพัด เขายังไม่เคยใส่ใจหนูเลยด้วยซ้ำ หนูก็คนนะคะคุณอา หนูก็เป็นลูกเขา ห้าปีมานี้หนูก็สู้คนเดียวมาตลอด เขาไม่เคยที่จะถามหาหนูเลยด้วยซ้ำ เขาเป็นคนตัดหนูออกจากชีวิตเอง"
คุณณรงค์ยิ้มเศร้า
"อาจะบอกความจริงให้นะ ที่จริงเรื่องนี้ท่านประธานไม่เคยอยากให้หนูรู้"
นาเดียร์มือสั่น ท่าทางของคุณณรงค์เหมือนกับว่าพวกเขากำลังทำอะไรลับหลังเธอ
"คุณอาหมายความว่าอะไร ความจริงอะไรคะ"