6 แพ้คนโอนเก่ง
ชากุหลาบยังไม่ทันเย็น พี่ช่อฟ้าก็มาถึง เธอทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นฉันอยู่กับแฮค แต่ไม่ได้ท้วงติงอะไร ยังคงสงวนท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เธอก็อยู่ด้วยเหรอ ชื่ออะไรนะ”
เธอหันมาทักฉันหลังจากทักทายกับแฮคเสร็จ เอ่อ... ฉันไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี แค่ชื่อฉันก็ยังจำไม่ได้เนี่ย ช่างเถอะ เข้าใจว่าโมเดลลิ่งเด็กเยอะ คงจะจำได้ไม่หมดทุกคน
จะว่าไปฉันก็ยังไม่ได้แนะนำตัวกับแฮคเลยนี่นา ไม่สิ หมอนั่นไม่คิดจะถามชื่อฉันสักคำ ขนาดตอนโอนเงินค่ากินข้าวยังแค่เอาหน้าจอสมาร์ตโฟนมาให้ฉันดูเพื่อยืนยันความถูกต้องเฉยๆ ไม่สนเลยว่าฉันชื่ออะไร
ฉันเหลือบมองแฮค ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองไร้ตัวตนขนาดนี้ คิดดูสิ ขนาดตอนกินข้าวก็ยังไม่มีใครถามชื่อฉันสักคน
“จูนค่ะ”
ฉันบอกเสียงขื่นๆ ชื่อเต็มคือเนปจูน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยากรู้จักกัน บอกสั้นๆ ก็พอแล้ว
“จูน... แล้วไปไงมาไงถึงมาด้วยกันล่ะ”
พี่ช่อฟ้ารับรู้ชื่อฉันเสร็จก็หันไปทางแฮคก่อนดึงเก้าอี้ตัวที่ว่างออกนั่ง พี่สกายเดินออกมารับออร์เดอร์พอดี
“ว่าไงจ๊ะช่อฟ้า วันนี้ดื่มอะไร”
“ฟ้าขอกาแฟดำแล้วกันค่ะ ง่วงมากกลัวว่าจะฝันกลางวัน ดื่มอะไรร้อนๆ ขมๆ เผื่อจะรู้สึกตื่นขึ้นมาบ้าง”
ทำไมฟังดูแปลกๆ กำลังประชดฉันอยู่หรือเปล่านะ
“กาแฟดำนะ รับของหวานด้วยมั้ย กินคู่กันอร่อยดีนะ” พี่สกายยังคงรอยยิ้มเป็นมิตร ไม่แสดงอาการระแคะระคายกับถ้อยคำของพี่ช่อฟ้าแม้แต่น้อย
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
“โอเค รับแค่นี้นะ”
พี่สกายเดินออกไป พี่ช่อฟ้าก็พูดขึ้นทันที
“เข้าเรื่องเลยแฮค ไม่ต้องอ้อมค้อม”
แฮคมองไปที่พี่ช่อฟ้าที มองฉันที พูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องลมฟ้าอากาศ
“ค่าตัวยัยนี่น่ะ เจ๊รับไปเต็มไม่ใช่เหรอ ถึงจะไม่ได้เซ็นสัญญาแต่คนทำงานก็ควรได้ค่าเหนื่อย”
“นี่ถึงกับออกหน้าเลยเหรอแฮค” พี่ช่อฟ้ายิ้มเยาะ ดูไม่พอใจอยู่นิดๆ ที่แฮคเข้ามายุ่มย่ามกับงานของตน ฉันก็คิดเอาไว้แล้วล่ะว่านางจะไม่ยอมง่ายๆ แต่ว่าแฮคที่พูดออกมาซึ่งๆ หน้าก็แอบได้ใจฉันไปไม่น้อยเช่นกัน
“ไม่อยากให้คนว่าเอาได้น่ะ ว่าผู้ชายของเรดซันเอาเปรียบผู้หญิง”
“....”
เอ่อ... ใช่เหรอ?
ฉันเหมือนจะหายใจไม่ออกกับเหตุผลของเขา ที่ว่าเอาเปรียบนี่หมายถึงเรื่องเงินใช่มั้ย ไม่ใช่อย่างอื่น
“งั้นแฮคก็จัดการปิดปากเอาเองสิ ส่วนพี่ก็แค่ทำตามหน้าที่ จัดการให้เป็นกรณีตัวอย่างก็เท่านั้น จะได้ไม่มีใครกล้าแหกกฎอีก”
อีพี่ช่อฟ้า! อยากให้เห็นหน้านางตอนนี้จริงๆ มันน่าจิกหัวตบมาก ฉันได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ โมโหท่าทางของพี่ช่อฟ้าแค่ไหนก็ไม่กล้าก่อเรื่องใหญ่โต เจ็บใจจริงๆ โว้ย
แฮคถอนหายใจยาว แต่สีหน้ากลับไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แค่รำคาญความดื้อด้านของพี่ช่อฟ้าเท่านั้น ใช่สิ เขาไม่ใช่ผู้เสียหาย จะเดือดร้อนทำไมล่ะ เหอะ!
“เงินไม่เท่าไหร่เองน่า ยอมๆ หน่อย”
“เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นหรอก แต่ถ้าครั้งนี้พี่ยอมลงให้ ก็คงมีครั้งต่อไปเรื่อยๆ แล้วใครมันจะเคารพพี่ล่ะ”
ฉันละปวดหัวในหลักการของพี่ช่อฟ้าจริงๆ ทำเป็นคนดียึดมั่นในกฎเกณฑ์ หมั่นไส้
แต่ถึงจะไม่เห็นด้วยกับความเข้มงวดนั้น ฉันก็เถียงไม่ได้เพราะฉันก็ผิดที่ไม่เซ็นสัญญา ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่างานมันมีความเสี่ยงที่จะจบลงบนเตียงอยู่แล้ว แต่ฉันก็ยังมั่นใจเกินเหตุว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์อยู่
“แค่เงินไม่กี่พัน” แฮคย้ำ
“แฮค!”
“โอเคๆ ในเมื่อเจ๊ไม่ยอมก็ไม่เป็นไร ผมเคารพการตัดสินใจของเจ๊” แฮคยอมยกธงขาวง่ายๆ ส่วนฉันนัยน์ตาร้อนผ่าวตั้งแต่คำว่าเงินไม่กี่พันแล้ว
เหมือนถูกตีราคา
เป็นแค่สินค้าราคาถูกชิ้นหนึ่ง
ความจริงมันก็เงินไม่กี่พันนั่นแหละ แต่ฉันก็ยังยึดติดเพียงเพราะไม่อยากเสียเปรียบ แต่ยิ่งดึงดันก็ยิ่งรู้สึกไม่คุ้ม
“ช่วยไม่ได้นี่คะ จูนไม่รอบคอบเอง จูนขอโทษค่ะ”
ฉันสะกดความรู้สึกอัดอั้นตันใจเอาไว้แล้วยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง
แม้ลึกๆ จะยังมีอารมณ์ต่อต้าน แต่ฉันหน้าด้านต่อไปไม่ไหวแล้ว
มันแค่เงินไม่กี่พันอย่างที่แฮคว่า ลืมๆ ไปเถอะ
“ขอตัวนะ จูนไปนะคะ”
ฉันบอกลาคนทั้งสองแล้วเดินออกมาโดยไม่รอให้ใครอนุญาตก่อน สองขาที่ก้าวเดินหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งออกจากประตูร้านไม่กี่เมตรน้ำตาร้อนๆ ก็ร่วงเผาะ
อะไรกัน แค่นี้เองจะร้องทำไมวะจูน ฉันบอกตัวเองก่อนจะรีบเร่งฝีเท้า ไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่กี่วันต่อมา
ฉันทำใจได้บ้างแล้ว อาจจะมีนึกถึงบ้างเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่บ่อย เป็นห้วงอารมณ์ระยะสุดท้ายที่กำลังจะจางหายไปล่ะมั้ง ต้องขอบคุณงานออกบูธขายสินค้าช่วงนี้ด้วย กว่าจะเสร็จกลับถึงหอพักก็สามสี่ทุ่ม กลางวันก็มีเรียน ทำให้ทั้งยุ่งทั้งเหนื่อยไม่มีใจไปคิดเรื่องอื่นให้เปลืองแรงแล้วจริงๆ
ออกบูธกำลังเชียร์สินค้าให้ลูกค้าอยู่ดีๆ ก็มีเงินเด้งเข้าบัญชี จากไหนเนี่ย ใครโอนมา... ชื่อบัญชีคุ้นๆ ผ่านไปไม่นานก็มีเบอร์ไม่รู้จักโทรมา หรือว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์!
“ฮัลโหล” ฉันหลบออกมาด้านหลังบูธ กดรับสายหัวใจเต้นตุ้มๆ ต้อมๆ ดีที่ตอนนี้ใกล้เวลาปิดงานแล้ว คนเลยไม่ค่อยเยอะ พอจะปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์ได้แบบไม่น่าเกลียด
[เงินเข้าแล้วใช่มั้ย]
“เดี๋ยว นั่นใคร?”
ฉันตั้งตัวไม่ทัน แต่เสียงคุ้น... เหมือน... ตึกตักๆ แล้วทำไมหัวใจต้องเต้นแรงด้วยเนี่ย!
[จำไม่ได้เหรอ]
เสียงนี่... ตึกตักๆ ตึกตักๆ หัวใจมันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใบหน้าของผู้ชายคนนั้นลอยเข้ามาในหัว
“...แฮค” ฉันเดาเสียงสั่นๆ อธิบายไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกยังไง “แฮคเหรอ?”
[ใช่ ฉันเอง]
สมองฉันขาวโพลน ตะลึงอยู่ชั่วขณะกว่าจะคลำหาเสียงตัวเองเจอ
“โอนเงินมาเหรอ”
[มีงานให้ทำ]
“ห๊ะ งาน?” ฉันงงไปหมดแล้ว สมองประมวลผลไม่ทัน มันมีแต่เครื่องหมายคำถามที่ผุดขึ้นมาไม่หยุด อีกใจก็ร้อง What the fuck! อะไรของแฮคมันวะ
ฉันเกือบจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้วเชียว จะมาหางานให้ทำไมอีกเนี่ย
[พรุ่งนี้จองตัวหนึ่งวัน]
“ไม่! เดี๋ยว อย่าคิดเอาเองได้ป่ะ?”
[นั่นแค่เงินมัดจำ เสร็จงานเดี๋ยวจ่ายเพิ่ม]
“งานอะไร” เสียงอ่อนลงทันควัน ไม่ได้เห็นแก่เงินหรอกนะ
แค่สงสัยว่าเขาจะให้ฉันไปทำอะไรต่างหาก
[ไปดูผ้า]
“ดูผ้า... ผ้า” ฉันชะงักเมื่อนึกเรื่องที่ร้านอาหารในห้างฯวันนั้น “เดี๋ยวนะ นี่จะให้ฉันเล่นเป็น... เป็นเมียนายอีกแล้วเหรอ” กระดากปากจริง
[ตามนั้น นัดสิบโมง ส่งโลเคชั่นมาแล้วกันเดี๋ยวไปรับ แอดไลน์ที่เบอร์นี้เลย]
“เออๆ แค่นี้ก่อน ไว้ค่อยคุย ติดงานอยู่”
ฉันตัดบททันทีหลังจากเหลือบไปเห็นเพื่อนๆ สองสามคนกำลังช่วยกันเก็บของปิดบูธเพราะถึงเวลาเลิกงานแล้ว
หลังเคลียร์บูธเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์ก็เล่นสมาร์ตโฟนไปด้วย
หน้าจอเด้งเตือนว่ามีการเพิ่มเพื่อนใหม่ในแอปฯไลน์ผ่านเบอร์โทรศัพท์ขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลานัยน์ตาคมหวานละมุนชวนหลงใหลที่คุ้นเคยของแฮคลอยขึ้นมาบนหน้าจอ
เฮ้ย... เดี๋ยวสิ หมอนั่นกำลังวิดีโอคอลมาไม่ใช่เหรอ?
ฉันตกใจจนเกือบจะทำสมาร์ตโฟนหลุดมือ ให้ตายสิ ใจหายแวบเลย จังหวะที่คว้าสมาร์ตโฟนนิ้วคงไปโดนปุ่มรับสายโดยไม่ตั้งใจ ทั้งหน้าทั้งเสียงของแฮคมาแบบ Full HD เลย
[อยู่ข้างนอกเหรอ]
“อะอืม ใช่ เพิ่งเสร็จงาน” ฉันบอกแบบงงๆ เดินมาหยุดตรงป้ายรถเมล์แล้วมองซ้ายมองขวาสังเกตรอบๆ โดยไม่ได้สนใจคนในจอ
ถึงจะสามทุ่มกว่าแล้วแต่คนก็ยังพลุกพล่าน ไม่ได้น่ากลัวมากเพราะเป็นย่านชุมชน ถัดไปไม่กี่ร้อยเมตรมีตลาดนัดของกิน เปิดตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน บางวันก็แวบออกมาซื้อของเข้าไปกินข้างในบูธด้วย แต่เพราะเจ้าของบูธใจดีด้วยแหละก็เลยทำได้ เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางกับอาหารเสริมที่ฉันเคยรับงานรีวิวให้ พอมีอีเวนต์ออกบูธก็เลยถูกเรียกมาช่วยงาน แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยเฉยๆ มีค่าแรงให้ด้วย
[กำลังหิวอยู่พอดี ไปหาอะไรกินกันเถอะ] คำชวนไม่มีปี่มีขลุ่ยดึงความสนใจฉันกลับมาที่จอ
“ว่าไงนะ”
[หิว หาเพื่อนกินข้าว] เขาฉีกยิ้มพลางยักคิ้วใส่หน้าจอ มันดูดีซะจนเกือบเผลอยิ้มตาม เกือบ! แค่เกือบเท่านั้น
“ไม่ ลดน้ำหนักอยู่” ปฏิเสธไว้ก่อนแหละ ลึกๆ ก็เหมือนจะอยากไป แต่อีกใจก็บอกว่าอย่าเลย อย่าหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจทีหลังจะดีกว่า
[กินคืนเดียว ไม่อ้วนหรอกน่า]
“ไม่เอา”
[....] แฮคก้มทำอะไรสักอย่างกับเครื่อง
ติ๊ง!
“เฮ้ย!? อะไร... โอนมาทำไม”
[ไปกินข้าวกัน นะ...]
ทำหน้าคิดหนัก
แต่ “ก็ได้” ฉันขานรับหลังจากนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ทำไงได้ล่ะ ตั้งสามพันแหนะ ไม่เอาก็โง่แล้ว