ตอนที่ 2 เขาคือใคร (1)
ตอนที่ 2 เขาคือใคร
วันหยุดมันผ่านไปเร็วจนไม่น่าเชื่อ และแล้วก็เป็นเช้าของวันจันทร์ที่ฉันไม่อยากให้มาถึง แต่ก็ยังต้องตื่นเช้ามาเรียนตามปกติ สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติคือเช้านี้ฉันเลือกที่จะเข้ามานั่งรออาจารย์ในห้องเรียนวิชาแรกแทนที่จะรอพวกเพื่อนอยู่ใต้ตึก
ครืด~ ครืด~
ขณะที่กำลังจะทิ้งสะโพกลงกับเก้าอี้เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นเบอร์ของคู่กรณีที่จ้องจะเอาเงินจากฉันอยู่
ฉันกดปิดเสียงแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้ในกระเป๋า หันซ้ายขวาอย่างระแวดระวังเพราะตอนนี้เริ่มมีเพื่อนทยอยเข้ามาในห้องกันแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนที่ตามมาทวงเงินฉันเป็นใครหน้าตายังไง มีแค่เขานั่นแหละที่รู้ว่าหน้าตาฉันเป็นแบบไหน
“ขอโทษนะครับ”
เฮือก!
อยู่ๆ ฝ่ามือของใครบางคนก็แตะลงมาที่ต้นแขนพร้อมกับเสียงเข้มนั้น เล่นเอาฉันตกใจจนต้องสะบัดมือนั้นออกโดยไม่ตั้งใจ แต่พอหันมองก็เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคณะอื่นที่มาลงเรียนวิชานี้ ซึ่งฉันเองก็เห็นหน้าค่าตามาร่วมเดือนแล้ว
หรือเขาคือเจ้าของรถวันนั้น…
“มะ…มีอะไรคะ”
“ออ พอดีเราจะถามเรื่องงานที่อาจารย์สั่งน่ะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ออ…ถามอะไรเหรอ”
ฉันพูดพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะพูดคุยเรื่องงานกับเขาคนนั้นจนกระทั่งเพื่อนอีกสองคนของฉันมาจนครบ เขาก็ปลีกตัวหนีไปนั่งกับเพื่อนตัวเอง
“เขามาจีบแกเหรอ” ระรินถามด้วยท่าทีสนอกสนใจ พลางเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายนี้นั่งอยู่จนพวกเพื่อนเขามองกลับมา
เขานั่งอยู่มุมหลังสุดของห้อง มีเพื่อนคณะเดียวกันอีกสามถึงสี่คนอยู่ด้วย ที่รู้ก็เพราะเสื้อเชิ้ตกิจกรรมของคณะที่เหมือนกันหมด
“พูดบ้าอะไร เขามาถามเรื่องงาน”
“หล่ออะ เป็นรุ่นพี่ปีสองใช่ไหม”
“อยู่นิติศาสตร์ไหม เคยเห็นแวบๆ ในเพจ” จินพูดเสริม กับเรื่องผู้ชายล่ะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยยัยพวกนี้
“ใช่ๆ ฉันแอบมองมาตั้งแต่วันแรกแล้ว” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเขิน
ไม่แปลกใจเลยที่รุ่นพี่ที่มันคุยอยู่จะทิ้งไปมีแฟนทั้งที่คุยกับมันมาทั้งเทอม ก็เพราะมันบ้าผู้ชายแบบนี้ไง ใครเขาจะมั่นใจยอมคบกับมัน
“ก็ได้แค่มองแหละย่ะ ยัยน้ำค้างได้คุยเป็นชั่วโมง”
“เว่อร์ เพิ่งมานั่งคุยไม่ถึงสิบนาที” ฉันปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นเสียงแข็ง
“พี่เขาชื่ออะไรเหรอ” จินเอียงหน้าถาม
“พี่ปั้น”
“จ้า คุยกันแป๊บเดียวแต่รู้ชื่อเขาแล้ว”
“ก็เขาแนะนำตัวเองไหม หา!!”
ฉันหันไปโวยวายพวกมันสองคนที่กำลังหาเรื่องและพยายามจะโบ้ยความผิดที่มีผู้ชายรุ่นพี่นิติคนนั้นมาคุยด้วยให้ฉันจนได้ แต่อยู่ๆ ยัยสองคนนั่นก็เลิกสนใจเรื่องฉันแล้วเอาแต่สะกิดแขนกันให้มองไปที่ประตูบานใหญ่ของห้อง
“แก! พี่ฟิวส์!” เสียงของยัยจินที่เหมือนจะตกใจแต่กลับพูดให้เป็นเสียงกระซิบ
“มาทำอะไรวะ กรี๊ด! หล่อชิบหายเลย” ระรินกรี๊ดเป็นเสียงกระซิบบ้าง จนฉันต้องส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอากับความบ้าผู้ชายของพวกมัน ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่ายัยระรินเพิ่งออกหักไปเมื่อไม่กี่วันจากผู้ชายที่เรียกว่าคนคุย
ฉันมองตามพวกมันไปที่ประตูแต่คนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นเดินพ้นประตูไปแล้ว เห็นแค่เสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่แวบเดียว ให้เดาน่าจะหนุ่มวิศวะที่พวกมันชื่นชอบกันนั่นแหละ หลายคนจนจำไม่ได้ คณะนั้นก็มีแต่ผู้ชายด้วยใครจะไปจำได้หมด
“มาทำอะไรวะระริน”
ไม่ใช่แค่ยัยสองคนนี้ที่ดูตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของผู้ชายคนนั้น แต่ผู้หญิงอีกหลายคนก็ดูสนอกสนใจไปด้วย ฉันมองไปที่ประตูอีกบานหนึ่งซึ่งคิดว่าเขาจะต้องเดินผ่าน อยากรู้นักว่าหล่อบาดใจขนาดไหน ทำไมต้องทำอย่างกับเห็นดาราจีนดาราเกาหลีที่อยู่ในซีรีส์นัก
ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสูงของใครคนนั้นก็ปรากฏที่ประตูอีกบานที่รัศมีสายตาของฉันกำลังรออยู่เขาหยุดอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเพื่อนอีกคน ก่อนจะกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่าง
เออ หล่อ โคตร!
เกือบทุกสายตาในห้องนี้มองไปตรงที่เขายืนอยู่เป็นจุดเดียว รวมถึงฉันด้วย อยู่ ๆ หัวใจของฉันมันก็รู้สึกเย็นวาบลามไปถึงกระดุกสันหลัง เมื่อสายตาคมกริบคู่นั้นมันหยุดอยู่ที่พวกเรานั่งอยู่ก่อนที่เขาจะเอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางดูไม่เป็นมิตร
เขาสวมเสื้อช็อปสีเลือดหมูของคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ทุกคนคุ้นตาคู่กับกางเกงยีนส์ในแบบที่ผู้ชายคณะนี้ชอบใส่กัน ทุกอย่างมันดูดีและเพอร์เฟคทั้งที่เขาก็แต่งตัวเหมือนๆ กับคนอื่นที่เคยเห็น
ติดอยู่อย่างเดียว สายตาของเขาไม่เป็นมิตรเลย ฉันเห็นแล้วยังไม่กล้ามองนานๆ แถมในจังหวะท้ายๆ นั้นฉันรู้สึกได้ว่ามุมปากของเขามันยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คล้ายกับปีศาจร้ายในหนัง
รู้สึกถึงรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาและมันดูอันตรายจนต้องขยับลูกตากลับมาหน้าห้อง
“เขามองใคร เราเหรอ” ยัยจินพูดพึมพำ
“ใช่เหรอแก แต่ก็มองทางนี้แหละ” ระรินเองก็สงสัยไปด้วย
ฉันที่สงสัยไม่ต่างจากยัยพวกนั้นจึงหันหลังไปมองดูว่าเขากำลังมองหาใครอยู่ เพราะคิดว่าไม่ใช่พวกเราแน่ ข้างหลังนั่นก็มีพวกผู้หญิงคณะบริหารนั่งอยู่กับผู้ชายคณะนิติศาสตร์ที่เพิ่งมาคุยกับฉัน
ถ้าให้เดาจากสายตาหาเรื่องแบบนั้นคงจะมองพวกรุ่นพี่ผู้ชายนิติอยู่แน่ๆ
“ไปแล้ว”
“สรุปคือใคร”
เมื่อหันกลับไปมองที่ประตูก็ไม่เห็นอีกคนแล้วอย่างที่ยัยจินว่า เหลือไว้แต่ความว่างเปล่าพร้อมกับความสงสัยของใครหลายคน รวมถึงฉัน…
จึงถามพวกมันทันทีด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่เพราะสนใจแต่เพราะความสงสัยจริงๆ
“น้ำค้างแกไปอยู่นรกขุมไหนมาเนี่ยถึงไม่รู้จักพี่ฟิวส์”
“อย่าไปว่ามัน ชีวิตมันว่างไถจอดูผู้ชายแบบแกไหม” จินต่อว่าระรินที่กำลังบ่นเรื่องฉันไม่รู้จักพี่ฟิวส์ของมันอยู่ ก่อนจะอธิบายให้ฟัง “พี่ฟิวส์นายกสโมไงเพื่อน แกไม่เคยเห็นเลยเหรอ”
“ออ ก็ว่าคุ้นๆ”
คุ้นที่ว่านั้นคือการเห็นผ่านสื่อต่างๆ ของมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่ได้จำ เอาจริงก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เรื่องของสโมสรนักศึกษาแทบไม่ใช่ประเด็นสำคัญกับการใช้ชีวิตของฉันเลย
“ชาตินี้แกจะมีผัวไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องไปห่วงมันหรอกนะเพื่อน เพราะถึงมันไม่รู้จักผู้ชายแต่ผู้ชายรู้จักมันค่ะ มันสวย” จินหันไปบอกระรินอย่างหน่ายๆ
“เออเนอะ ฉันก็ลืมคิดไป”
ฉันส่ายหน้ากับเพื่อนสองคนที่เถียงกันไปมา ก่อนที่จะจบบทสนทนาเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะอาจารย์เข้าสอน
ครู่หนึ่งฉันก็คิดได้ว่าควรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูความเคลื่อนไหวเพราะปิดเสียงแจ้งเตือนหนีปัญหาเรื่องเงินอยู่ พลันคิ้วก็ต้องขมวดเข้าหากันพร้อมกับหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเพราะคำขู่ที่ถูกส่งผ่านข้อความเข้ามา
‘คิดจะหนี เจอดีแน่'
------------------