บทที่4
ฉีอี้หลินเอ่ยถามสามี เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นสามี แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเรื่องใดที่ทำให้สามีของนางกำลังหนักอึ้งอยู่ภายในใจ แต่มันมิใช่สิ่งที่นางจะแสดงออกว่ารู้ทุกสิ่งอย่าง การแกล้งโง่งมเสียบ้างจะเป็นที่รักและเอ็นดูของสามี มารยาของสตรีมีมากมาย แต่บุรุษทุกคนย่อมพ่ายต่อความไร้เดียงสาของสตรีอยู่ร่ำไป ยิ่งดูโง่งมในบางเรื่องได้มากเท่าใด ยิ่งเป็นที่พึงใจของบุรุษที่กุมอำนาจไว้ในมือมากเท่านั้น เพราะเรื่องบางอย่างนั้นสตรีมิสมควรจะล่วงรู้หรือรู้เท่าทันสามี
“เจ้าให้คนไปจัดเตรียมสิ่งของ เพื่อไปยังหอโอสถเมฆาให้ข้าที”
ไม่มีคำตอบจากมู่ต๋าไห่ แต่เป็นคำสั่งแทน ทำให้ฉีอี้หลินรู้สึกใจหายไปชั่วครู่เมื่อเอ่ยถึงหอโอสถเมฆา แม้จะอยากเอ่ยถามต่อ ทว่าเมื่อมองเห็นอาการของผู้เป็นสามีที่ดูไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ร่างระหงจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นอกจากเร่งรีบไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นสามีในทันที
หอโอสถเมฆา
ในส่วนที่พักของผู้นำหอโอสถเมฆาดูจะวุ่นวายอยู่มากทีเดียว เมื่อวันนี้พรุ่งนี้คุณหนูสามของบ้านจำต้องออกเดินทางไกล เพื่อไปรักษาคนป่วยยังต่างเมือง แน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวและจุดมุ่งหมายของการเดินทาง ย่อมรู้เพียงมิกี่คนเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูสามลู่ชิงชิง
การเดินทางอย่างเปิดเผย ย่อมตกเป็นเป้าหมายของคนที่คิดจะเล่นงานสามพี่น้องอย่างแน่นอน ซึ่งนับว่าเป็นการท้าทายศัตรูอย่างจงใจ หากฝ่ายใดลงมือก่อนย่อมกลายเป็นผู้ร้ายที่วิ่งเข้าหาหลุมพรางที่สกุลลู่วางเอาไว้นั่นเอง ซึ่งการเดินทางออกจากเมืองหลวงของลู่ชิงชิงนั้น เป็นไปอย่างเงียบ ๆ ก็ย่อมทำได้ แต่จะเป็นอันตรายมากกว่า เพราะหากเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีใครรับรู้และคอยเป็นหูตาให้นั่นเอง
การเดินทางอย่างเปิดเผยและเอิกเกริก ย่อมเป็นการสร้างเกราะให้แก่ตัวนางอีกชั้นหนึ่ง เพียงก้าวพ้นเมืองหลวงผู้คนย่อมให้ความสนใจ การตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนย่อมดีกว่าการหลบเลี่ยงเดินทางอย่างเงียบ ๆ เพราะเมื่อยามมีภัย ย่อมไร้ผู้คนรู้เห็น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ศัตรูปรารถนายิ่งนัก
รถม้าสกุลมู่หยุดลงยังด้านหน้าหอโอสถเมฆา ก่อนที่คนในรถม้าจะก้าวลงมายืนอยู่หน้าประตู ซึ่งมีไว้สำหรับผู้ที่มารับการรักษาหรือแม้แต่แขกที่มาขอพบปะเพื่อกิจสำคัญก็จำต้องผ่านประตูนี้ทำนั้น จะมีเพียงบุคคลสำคัญหรือส่วนตัวจริง ๆ ที่ใช้ประตูอีกด้าน
‘แม้แต่บิดาเช่นข้าก็ไร้สิทธิ์ที่จะใช้ประตูของครอบครัวสินะ หึ ๆ เจ้าเก่งมาหลงเทียนที่พาน้อง ๆ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ในวันนี้ น่าเสียดายที่นางไม่มีโอกาสได้ชื่นชมในสิ่งที่เจ้ากับน้องสาวได้ทำในวันนี้’
มู่ต๋าไห่รำพันอยู่ภายในใจ ทุกความรู้สึกกำลังสาดซัดเข้ามาประหนึ่งระลอกคลื่นของแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยวก็มิปาน นับตั้งแต่วันนั้นในงานเลี้ยง เขาก็มิเคยได้พบเจอบุตรชายหญิงทั้งสามคนอีกเลย และไม่แม้แต่จะย่างก้าวมายังที่แห่งนี้ ทว่าด้วยคำสั่งของผู้เป็นบิดา ทำให้เขาจำต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกกระดากอายเหลือเกินที่ต้องพบหน้าบุตรที่เขาได้คิดสังหารเมื่อนานมาแล้ว
“ท่านพี่ เราเข้าไปด้านในกันได้รึยังเจ้าคะ”
ฉีอี้หลินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสามีเอาแต่ยืนเหม่อมองป้ายหอโอสถเมฆา โดยไม่คิดจะก้าวเข้าไปด้านในหรือเอ่ยสิ่งใดกับใครเลยสักคน ความริษยาที่เก็บซ่อนมานานของนาง ทำให้เวลานี้ความคลั่งแค้นเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ‘เจ้าไม่เหลือแม้แต่ชื่อ ยังทำให้ท่านพี่มิเคยลืมเลือนคนเช่นเจ้าได้เลยหรืออย่างไรกัน’
ฉีอี้หลินไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อยเอ่ยชื่อของใครบ้างคน แม้แต่ในความคิดก็ตามที นางทำเพียงกล้ำกลืนชื่อนั้นเอาไว้ในส่วนลึก
“ไปสิ” มู่ต๋าไห่เอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะก้าวตรงไปยังประตูบานใหญ่ที่เปิดออกกว้าง สำหรับผู้คนมากมายที่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อรับการตรวจรักษาโดยไม่มีแบ่งแยกรวยจน เพราะสำหรับหอโอสถเมฆาแล้วทุกคนเท่าเทียมกัน
มิเว้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ที่มาเพื่อรับการตรวจรักษา ยังไม่มีอภิสิทธ์ใด ๆ เหนือผู้คนทั่วไป แม้แต่ยาจกไร้บ้านหากเจ็บป่วยก็จะได้รับการเยียวยาเป็นอย่างดี
ฉีอี้หลินหันไปพยักหน้าให้สาวใช้คนสนิท เพื่อถือของกำนัลติดตามนางและสามีเข้าไปด้านใน ทว่าก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในนั้น ร่างระหงจำต้องหยุดหันไปมองโต๊ะตัวเล็กวางเรียงรายเป็นแถวไปตามกำแพงของหอโอสถเมฆา โดยมีชายหญิงคนชราและเด็ก ที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดนั่งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งบนโต๊ะเล็ก ๆ เหล่านั้นมีอาหารอย่างดีวางเอาไว้ตรงหน้าของคนที่นั่งอยู่
“เขาทำอันใดกันรึ”
ฉีอี้หลินเอ่ยถามคนของหอโอสถเมฆาที่กำลังจะก้าวเข้าไปด้านในเช่นกัน ชายหนุ่มได้หยุดเท้าลง ก่อนจะหันมองไปตามสายตาของคนที่เอ่ยถาม แน่นอนว่านอกจากเขาแล้ว สตรีตรงหน้าคงมิได้เอ่ยถามใครที่มิใช่คนของที่นี่ แม้เขาจะเป็นเพียงศิษย์ระดับล่าง แต่ย่อมรู้จักคนตรงหน้าเป็นอย่างดี เพราะนางมาที่นี่บ่อยครั้งในช่วงเวลามิกี่วันมานี้