บทที่5
“ทุกสองวัน คุณหนูสามจะจัดเลี้ยงอาหารให้แก่ผู้ยากไร้ขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นนาย
“เพียงขอทานไยถึงได้เลี้ยงดูด้วยอาหารชั้นดีเช่นนี้ เพียงหมั่นโถว หรือข้าวต้มเปล่าก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ ไยจึงได้สิ้นเปลืองกับคนที่หาประโยชน์อันใดมิได้เช่นนี้”
“หากเป็นท่านยามหิวจะกินเพียงเท่านั้นได้หรือไม่กัน เมื่อมีข้าวก็จำต้องมีกับ คนเหล่านี้อาจไร้ประโยชน์หากเรามองเช่นนั้น ทว่าพวกเขาจะมีคุณค่าเมื่อเรามอบโอกาสให้แก่เขาเช่นกัน อาหารเหล่านี้มิได้เลิศหรูจนยากที่จะเอื้อมถึง น้องสาวข้าแบ่งปันก็เพราะนางต้องการที่จะมอบรอยยิ้มและความสุขแก่ผู้ที่ไร้โอกาสจะมีเช่นที่เรา ด้วยตัวข้าและพี่น้องเคยลำบากเช่นนี้มาก่อน เพียงเพราะความริษยาและเอาเปรียบจากคนที่มีอำนาจมากกว่าในอดีต เมื่อวันนี้ข้ามีอำนาจเหล่านั้นในมือ ข้าก็จะมอบความสุขให้แก่ผู้ที่ยังมิถึงเวลาจะสยายปีกเพื่อโผบินดั่งพวกข้าได้ก็เท่านั้นเอง สรุปง่าย ๆ คือข้าพอใจที่จะทำข้าก็ทำ ไม่จำเป็นต้องขอความคิดเห็นจากคนนอก”
คำพูดที่ดังขึ้นจากคนที่กำลังก้าว ออกมาหยุดยืนอยู่มิห่างจากคนที่ตั้งคำถาม ทำให้ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาวผู้ไม่ได้มีท่าทียินดียินร้าย กับความขุ่นเคืองของคนเลยแม้แต่น้อย
ฉีอี้หลินกำหมัดแน่น เมื่อหันไปมองคนพูด แต่มิกล้าที่จะแสดงออกถึงความไม่พอใจทางสีหน้าได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่นางและคนพูดแล้วนั่นเอง
“เจ้ายังหวังอยู่อีกหรือว่าคนไร้ประโยชน์ ที่รอวันตายเช่นคนพวกนี้จะสยายปีกได้อีก” ฉีอี้หลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน กึ่งเหน็บแนมหญิงสาวตรงหน้า มุมปากงามยกยิ้มน้อย ๆ บอกได้ถึงสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่นั่นเอง
“ข้าก็เคยตายมาก่อน แล้วไยตอนนี้ยังทำได้เล่า นั่นเด็กน้อยคนนั้น สักวันเขาอาจยืนอยู่ในตำแหน่งที่สามีของท่านยืนอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้ เมื่อเขาเติบใหญ่ในวันข้างหน้า ไม่มีคำว่าแน่นอนในโลกใบนี้ มีเพียงคำว่าความเพียรเท่านั้นที่จะบอกได้ว่ามันจะสำเร็จผลหรือไม่ ท่านว่าจริงหรือไม่ฮูหยินมู่”
ลู่หลินเซียนผายมือไปยังด้าน ที่มีผู้คนมากมายนั่งเรียงรายกันกินอาหารอยู่ในเวลานี้ ซึ่งทุกคำพูดของหญิงสาวนั้น เหมือนจงใจเสือกมีดคมจ้วงแทงเข้าสู่หัวใจคนฟังยิ่งนัก โดยเฉพาะมู่ต๋าไห่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหญิงสาว เขารู้สึกจุกไปทั้งอก เมื่อถ้อยคำเสียดแทงใจของบุตรสาวเอ่ยกับภรรยาต่อหน้าเขาในตอนนี้
‘พวกเจ้ารู้ความจริงแล้วสินะ’ ตลอดหลายวันมานี้ความทุกข์ที่ถูกขุดขึ้นมาด้วยการปรากฏตัวของบุตรชายหญิง ทำให้เขาเหมือนก้าวเข้าสู่วัยชราใกล้สิ้นลมแล้วก็มิปาน
“ไยเจ้า จึงได้เอาตนเองไปเปรียบกับยาจกต่ำชั้นเช่นนั้นเล่าลูกแม่” ฉีอี้หลินแสร้งหลุดปากเรียกหญิงสาวว่าลูก
“มารดาข้าตายไปนานแล้ว หรือท่านว่าข้าเข้าใจผิด” ลู่หลินเซียนตอบกลับในทันที โดยไม่เว้นช่วงเวลาเลยแม้แต่น้อย
สายตาเย้ยหยันของลู่หลินเซียน ทำให้ฉีอี้หลินผงะเล็กน้อย ใบหน้าพลันซีดเผือดไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ทุกคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า เสมือนตั้งใจทิ่มแทงนางให้เจ็บปวด แต่เรื่องการประชดประชันแบบเด็กทารกเช่นนี้ มิใช่สิ่งเกินกำลังสำหรับคนนางที่จะรับมือ
“แม่เข้าใจว่าเจ้ายังเจ็บแค้นเรื่องที่ผ่านมา แม่รอได้ เพื่อให้พวกเราจะกลับมาเป็นครอบเดียวกันอีกครั้ง แม้จะนานเพียงใดมารดาผู้นี้ก็จะเฝ้ารอ” น้ำเสียงสั่นเครือของมู่ฮูหยินนั้น เสมือนกลั่นกรองออกมาจากส่วนลึกของหัวใจก็มิปาน
“หึ ๆ ครอบครัวเช่นนั้นรึ ตัวข้ามีครอบครัวที่ดีอยู่แล้ว อย่าพยายามยัดเหยียดสิ่งที่มิใช่ให้แก่ข้าและพี่น้อง เพราะอะไรเป็นอะไร ท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ คงมิจำเป็นต้องให้พวกข้าเอ่ยมันออกมากระมัง” ลู่หลินเซียนเอ่ยเย้ยหยันกับการแสดงของสตรีตรงหน้า หากเป็นผู้อื่นอาจหลงเชื่อ ทว่ามิใช่สำหรับคนเช่นนาง ‘อดีตคือบทเรียนที่ชัดเจนกว่าตำราใดในโลก’
“อะ...แฮ่ม น้องรองอย่าเสียมารยาท หลงเทียนต้องขออภัยที่ออกมาต้อนรับท่านเสนาบดีมู่กับฮูหยินมู่ช้าไปขอรับ ถ้าอย่างไรขอเชิญท่านเสนาบดีและฮูหยินเข้ามาดื่มชากันก่อนเถอะนะขอรับ” ลู่หลงเทียนเอ่ยขัดขึ้น พร้อมก้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างของเสนาบดีมู่ต๋าไห่ ทว่าสายตาที่สบเข้ากับผู้เป็นน้องสาว กลับฉายแววพึงพอใจพาดผ่านในชั่วขณะ ก่อนจะหายไปเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“คุณชายลู่ ข้ามาโดยมิแจ้งล่วงหน้า ย่อมมิอาจถือสาคุณชายได้”
มู่ต๋าไห่เอ่ยถ้อยคำโดยเว้นระยะห่างเอาไว้บ้าง เพราะหากเขาบุ่มบ่ามเช่นภรรยา ย่อมต้องได้รับคำตอบที่ทำให้เสียหน้าและสร้างความอับอายให้แก่ตนเองมิรู้จักจบสิ้น เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างภรรยาของเขากับนายหญิงแห่งหอโอสถเมฆานั้น เห็นได้ชัดว่าผู้ใดผิด แน่นอนว่าภรรยาของเขานั้นเร่งร้อนที่จะลงมือ โดยไม่ดูว่าตอนนี้พวกเขานั้นมิได้มีสิ่งใดเหนือไปกว่าสามพี่น้องเลยสักนิด
“ท่านเสนาบดีโปรดอย่าได้ถือสาน้องรองเลยนะขอรับ นางไร้มารดาคอยอบรมเลยจะแข็งกร้าวไปบ้าง ขอท่านเสนาบดีและฮูหยินอภัยให้นางด้วยด้วย เอาเป็นว่าวันนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารค่ำท่านเสนาบดีกับฮูหยินนะขอรับ เพื่อเป็นการขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าหวังว่าท่านทั้งสองจะมิรังเกียจ”