บทที่2
“รบกวนท่านอาหญิงแล้วเจ้าค่ะ” อี้ชิ่งพูดกับอาสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ซึ่งแตกต่างจากในยามไร้เงาของชายหนุ่มข้างกายยิ่งนัก
“รบกวนอันใดกัน เรื่องนี้ย่อมเป็นหน้าที่ของเราทุกคนในจวนอยู่แล้ว อาขอตัวก่อนอี้ชิ่ง หม่อมฉันขอตัวเพค่ะท่านอ๋อง” ผู้เป็นอาสะใภ้ ยังคงรักษาน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นปกติ แม้ว่าภายในใจนั้นจะขุ่นเคืองหลานสาวของสามีอยู่มิน้อย แต่ด้วยฐานะของนางนั้นมิอาจต่อกรกับคนทั้งคู่ได้ นางจึงจำต้องล่าถอยเสียก่อน ‘สักวัน จะต้องเป็นวันของครอบครัวข้าอย่างแน่นอน’
“…”
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับสตรีที่ย่อกายทำความเคารพเขา ด้วยในเวลานี้สายตาของเขากำลังจับจ้องเพียงคนในอ้อมแขน ที่ได้ขยับกายเล็กน้อย
เพื่อเป็นการเตือนให้เขารู้ว่า ควรที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระได้แล้ว ‘เจ้ากินยาผิดหม้อมาหรืออย่างไรกันอี้ชิ่ง’ ชายหนุ่มยังคงเก็บทุกความคิดเอาไว้ภายในใจ แขนแกร่งได้คลายออกจากการโอบรอบกายหญิงสาวด้วยความเสียดาย แต่เมื่อยังมิร่วมหอกัน เขาจำต้องหักห้ามใจเอาไว้เสียก่อน
“เชิญท่านอ๋องทางนี้เพค่ะ อี้ชิ่งจะดีดพิณถวายดีหรือไม่เพค่ะ”
ร่างบางเยื้องยาดด้วยท่าทางอันสุดแสนจะเย้ายวน แม้นางจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงมิวางใจ แต่คนโง่งมเช่นอ๋องสี่ มิช้าก็ตกอยู่ในกำมือของนางอยู่ดี สิ่งใดที่นางตั้งใจและปรารถนาจะต้องได้มา ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนนางก็จะช่วงชิงมันมาให้จงได้ ระหว่างมีสามีฉลาดล้ำกับสามีผู้โง่งม นางย่อมต้องเลือกคนที่สร้างประโยชน์อันสูงสุดต่อตัวอย่างอยู่แล้ว ‘ข้ามิคิดหลบหลีก แต่ข้าจะช่วงชิง’
“นับว่าเป็นวาสนาของข้า ที่ได้ฟังการบรรเลงเพลงพิณของโฉมงามอันดับหนึ่งของแคว้น”
ลั่วหยวนซีเอ่ยชมหญิงสาว ที่เวลานี้กำลังมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย สายตาประหนึ่งจะกลืนกินของชายหนุ่ม ทีดูจะจวบจ้วงจนเกินพอดีไปอยู่บ้าง แต่ทว่ามันกลับเป็นสิ่งที่หญิงสาวพึงพอใจ เพราะนั่นเท่ากับชายหนุ่มได้ตกลงไปในหลุมพรางเสน่หาที่นางได้สร้างขึ้นแล้วนั่นเอง
“ท่านอ๋อง กล่าวชมหม่อมฉันเกินไปแล้วเพค่ะ” มู่อี้ชิ่งตอบด้วยน้ำเสียงขัดเขิน ก่อนจะซ้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มเล็กน้อย
“ข้ามิชื่นชมว่าที่ภรรยาของตนเอง แล้วจะให้ข้ากล่าวชมสตรีใดอีก หืม!”
แววตากรุ่มกริ่มของชายหนุ่ม ทำให้ใบหน้างามพลันเห่อแดงขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามมิอยู่ ร่างระหงรีบก้าวไปนั่งลงยังที่ของตนเองทันดี ด้วยความรู้สึกเขินอายคู่หมั้นหนุ่ม ที่เอาแต่ส่งสายตาหวานปานน้ำผึ้งมาให้แก่นางมิขาดสาย
ร่างสูงก้าวไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม ที่สามารถมองเห็นใบหน้าหวานละมุนของหญิงสาวได้อย่างถนัดสายตา วันนี้ทั้งการแต่งกายและทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวนั้น ได้เปลี่ยนไปจนเสมือนเป็นอีกคนเลยทีเดียว แต่มิว่านางจะทำอะไร เขามิคิดจะสอบถามให้มากความ แม้แต่ความสงสัยในตัวของนางเขาก็ไม่คิดจะนำมาเป็นส่วนเกินในสมอง ในเมื่อนางพึงใจจะกระทำเช่นนี้ เขาก็พร้อมที่จะรับมันด้วยความเต็มใจ ‘สตรีน่ากลัวก็ต่อเมื่ออยากชนะ สินะ’
สิ่งที่เกิดขึ้นยังศาลากลางสระน้ำ ย่อมหนีไม่พ้นสายตาของประมุขสกุลมู่ แม้ว่าเขาจะมิชอบใจในตัวของอ๋องผู้นี้เท่าใดนัก ทว่าหากเขาทำการแข็งขืนกับราชวงศ์ก็มิต่างกับการรนหาที่ตาย ไหนจะเรื่องหลาน ๆ อีกสามคนที่เคยก้าวออกจากจวนไปเมื่อหลายปีก่อน จนในเวลานี้พวกเขาทั้งสามกลับมาพร้อมอำนาจที่เรียกว่าทัดเทียมเขาผู้เป็นถึงราชครูได้เลยทีเดียว ย่อมมิใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ว่าทั้งสามจะยังมิยอมรับว่าเป็นคนสกุลมู่ แต่มีหรือเขาจะเชื่อเช่นนั้น ในเมื่อหน้าตาของทั้งสามพี่น้องนั้นมากกว่าแปดส่วน ที่เหมือนกับบุตรชายคนโตของเขาเลยก็ว่าได้
หากตอนนี้หลานที่ถูกลืมคิดจะทวงแค้น เขาจำต้องหาคนที่มีอำนาจมากพอที่จะช่วยรับมือ แน่นอนอ๋องสี่แม้จะโง่เขลาไม่มีประโยชน์อันใดในราชสำนัก แต่ด้วยความที่เป็นพี่น้องร่วมพระมารดากับฮ่องเต้ อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นกองหนุนที่ควรค่าแก่ความเสี่ยง ที่เขาจะร่วมเกี่ยวดองด้วยหากมิอาจหาหนทางหลีกเลี่ยงได้แล้วจริงๆ จากที่เคยคิดจะนำตัวหลานสาวคนโตกลับมาแต่งงานแทนมู่อี้ชิ่ง ทว่าเมื่อเขาได้พบกับมู่หลินเซียนอีกครั้ง ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปในทันที มู่หลินเซียนมิเพียงแค่ฝีปากกล้า แต่นางกลับฉลาดหลักแหลมจนยากที่จะควบคุมได้ ไหนจะหลานชายคนโตที่เขาไม่ควรเสี่ยงช่วงชิงน้องสาวของมู่หลงเทียนมา โดยที่อีกฝ่ายมิยินยอม หลานชายคนโตของเขานั้นมิใช่คนเดิมที่เคยรู้จักเสียแล้ว
หากหวังจะอาศัยอำนาจภรรยาเอกก็ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว เมื่อนางเตรียมการขึ้นเขาเพื่อบำเพ็ญอีกครั้งแล้วนั่นเอง ซึ่งเป็นการประกาศกลาย ๆ ว่าเรื่องเล่านี้นางจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว จะโทษผู้ใดได้เมื่อเขาเป็นฝ่ายละเลยนางด้วยตนเอง ภรรยาเอกคือองค์หญิงที่ไร้สามารถทว่าเป็นพระขนิษฐาร่วมพระมารดากับอดีตฮ่องเต้ เขาจึงยอมที่จะแต่งนางมาเป็นภรรยาเพื่อเชิดชูสกุลมู่ให้เหนือกว่าผู้ใด