บทที่1
ณ จวนสกุลมู่
ร่างระหงของมู่อี้ชิ่งนั่งดีดพิณด้วยท่วงทำนองแว่วหวาน ซึ่งแตกต่างจากช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา ซึ่งทุกการกระทำของหญิงสาวนั้นเป็นที่จับตามองของคนในตระกูลกว่าที่ผ่านมา เรียกได้ว่าทุกความเคลื่อนไหวของนางนั้น มิอาจรอดพ้นความอยากรู้ของทุกคนในจวนไปได้เลย อีกทั้งความสำคัญของหญิงสาวที่มีต่อผู้นำตระกูลในเวลานี้ดูจะลดน้อยลงไปมากกว่าที่เคยอีกด้วย จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของหญิงสาวเป็นที่จับตามองของทุกคน มิเว้นแม้แต่ผู้เป็นพ่อและแม่ของนางเองด้วยเช่นกัน
มู่อี้ชิ่งหาได้ใส่ใจกับสายตาสอดรู้ของผู้ใดไม่ สิ่งที่นางกำลังกระทำอยู่นี้จะส่งผลดีต่อตัวนางในภายหน้า แค่รอเวลาอีกสักหน่อย ทุกอย่างก็จะสำเร็จผลอย่างแน่นอน ‘ทุกอย่างต้องอยู่ในเส้นทางที่ข้ากำหนดเท่านั้น’ ภายใต้ใบหน้างามหล่มเมืองของนางกลับมิต้องใจของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน นั่นเพราะคนไม่หวังดียังคงกีดกันนางอยู่นั่นเอง
‘เมื่อพระองค์ทรงโปรดปราณสตรีมากด้วยสามารถ ข้าจะเป็นหนึ่งในนั้นเอง’
สตรีมากมายคาดหวังที่จะก้าวเข้าสู่หวังหลัง ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลับไร้ซึ่งสตรีเหล่านั้น จึงเป็นที่กล่าวขานว่าสตรีใดที่ได้รับเลือกให้ก้าวเข้าสู่วังหลวง ย่อมต้องหนีมิพ้นตำแหน่งมารดาของแผ่นดินอย่างแน่นอน ทำให้ไม่ว่าสกุลใดมาทาบทามคุณหนูใหญ่สกุลมู่ ก็มักจะได้รับคำตอบที่เหมือนกันนั้นคือการปฏิเสธที่จะรับไมตรีเหล่านั้น
หลายครั้งที่มู่อี้ชิ่งได้ติดตามผู้เป็นปู่และบิดาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง แม้แต่ถวายการร่ายรำต่อหน้าพระพักตร์ ทว่านางยังคงยังมิได้รับการเหลียวแลจากฮ่องเต้หนุ่มเลยสักครั้ง แล้วอยู่ ๆ วันที่พี่สาวปรากฏตัวกลับเป็นวันที่นางถูกพระราชทานสมรสให้แต่งเข้าสู่จวนอ๋องสี่ลั่วหยวนซี โดยไร้ซึ่งทีมาของการพระราชทานสมรสในครานี้และเป็นสิ่งที่นางไม่คาดฝันเอาไว้ล่วงหน้ามาก่อนเลย
“คุณหนู ท่านอ๋องสี่มาขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายก้าวเข้ามากระซิบข้างหู ก่อนจะขยับถอยออกไปยืนอยู่ด้านหลังเช่นเดิม
“เจ้าไปเตรียมชากับขนมมาต้อนรับท่านอ๋อง”
นิ้วเรียวเริ่มขยับอีกครั้งหลังสั่งความเสร็จแล้ว นางไม่จำเป็นต้องลุกออกไปรับบุรุษผู้นั้นในเสียเวลา เพราะไม่ช้าญาติอันเป็นที่รักคงได้นำทางชายหนุ่มมาหานางอยู่ดี
เพราะต่อให้นางหนีสุดขอบฟ้า คนพวกนี้ก็ต้องหาวิธีทำให้นางได้พบกับเขาอยู่ดี นางมีความคิดอันล้ำลึกกว่าที่สมองน้อย ๆ ของเหล่าคนในสายเลือดจะทันนึกถึงด้วยซ้ำไป
ร่างสูงสง่าก้าวตรงมาพร้อมกับสตรีร่างบาง ที่นำทางอ๋องสี่ลั่วหยวนชีตรงมายังที่หมาย สายตาดุจเหยี่ยวนักล่าฉายวาบพาดผ่านเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป โดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็น ชายหนุ่มมองไปยังศาลาที่ยื่นออกไปยังกลางสระน้ำ โดยมีร่างบอบบางของคู่หมั้นกำลังนั่งดีดพิณอยู่ ซึ่งดูนางจะมีความสุขมากกว่าตอนที่เขามาเยี่ยมเยียนนางในคราแรกที่ได้หมั้นหมายกัน
‘เจ้ามิธรรมดาอย่างที่ใคร ๆ คิดสินะอี้ชิ่ง’
อ๋องหนุ่มรู้สึกว่าตนเอง กำลังจะก้าวเข้าสู่กระดานหมาก ซึ่งถูกคู่ต่อสู้โอบล้อมปิดทางของเขาเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว
แต่สำหรับคนเช่นเขานั้นหาได้ตื่นเต้นกับเรื่องเพียงเท่านี้ไม่ เรื่องการแย่งชิงความเป็นหนึ่งของสตรีก็เสมือนการเสี่ยงทาย มีแค่เพียงความเป็นไปได้และมิอาจเป็นไปได้ก็เท่านั้น
แปะ ๆ เมื่อเสียงดนตรีจบลง เสียงตบมือพลันดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้คนที่เพิ่งปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี หันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ร่างบางรีบลุกขึ้นในทันที ก่อนจะก้าวตรงไปหยุดมิห่างจากร่างสูงของแขกผู้มาเยือน
“อี้ชิ่งคารวะท่านอ๋องเพค่ะ อี้ชิ่งเสียมารยาทยิ่งนักที่มิได้ออกไปต้อนรับท่านอ๋องด้วยตนเอง”
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด โดยที่ยังคงย่อกายลงต่ำใบหน้างามยังคงก้มมองพื้นดิน มิกล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่ม ซึ่งทุกอย่างก็มิต่างจากความคาดหมายของนางไปแม้แต่น้อย
หญิงสาวจึงแสร้งตื่นตกใจเล็กน้อยแต่พองาม เสมือนการมาของชายหนุ่มนั้นนางมิเคยได้รับรู้มาก่อน
“ข้ามิเคยขุ่นเคืองกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลยอี้ชิ่ง” มือหนายื่นออกไปแตะเบา ๆ ยังข้อมือเล็กของคู่หมั้น น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มนั้น หากเป็นคนรักกันย่อมต้องหลงใหลมันมิน้อย ทว่าอาจมิใช่กับหญิงสาวตรงหน้า แต่ทว่านางก็ยังคงแสร้งเอียงอายเพื่อเอาใจชายหนุ่มอยู่นั่นเอง บุรุษทุกนามย่อมพ่ายแก่สตรีผู้อ่อนหวานอยู่ร่ำไป
“ท่านอ๋อง อี้ชิ่งซาบซึ้งในความเมตตาของท่านอ๋องยิ่งนักเพค่ะ”
มู่อี้ชิ่งซ้อนสายตาขึ้นมองสบตากับคนที่ก้มมองนางอยู่ก่อนแล้ว การกระทำของทั้งคู่เสมือนรอบบริเวณนั่นไร้ซึ่งผู้อื่นก็มิปาน ซึ่งแน่นอนมันสร้างความแปลกใจให้กับใครหลาย ๆ คนที่คอยแอบเฝ้ามองอยู่ห่างออกไป รวมทั้งสตรีที่เป็นผู้นำทางอ๋องหนุ่มมาพบกับหญิงสาว
“เจ้าคือว่าที่ชายาของข้า มิว่าอันใดที่เจ้าพึงพอใจ ข้ามีหรือจะขัดได้ แค่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยแล้ว ข้าหาใส่ใจไม่”
“ขอบพระทัยเพค่ะท่านอ๋อง เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องมาร่วมดื่มชากับหม่อมฉันก่อนนะเพค่ะ”
“ดี...ข้ายินดียิ่งนัก”
“อ๊ะ!” ขณะที่มู่อี้ชิ่งก้าวเดินนำชายหนุ่มไป อยู่ ๆ หญิงสาวได้หยุดลงกะทันหัน เป็นเหตุให้ร่างบางเซเล็กน้อยเมื่อร่างสูงที่ก้าวตามมามิห่างชนเข้า มือหนาคว้าร่างบางเอาไว้ได้ทันพร้อมรวบเข้าสู่อ้อมแขนแกร่งปะทะกับอกแน่นหนัน
“เจ้าเป็นอันใดหรือไม่อี้ชิ่ง”
“อี้ชิ่งมิเป็นอันใดเพค่ะ พอดีอี้ชิ่งลืมเชิญท่านอาหญิงมาร่วมดื่มชาด้วยกันเท่านั้นเพค่ะ”
มู่อี้ชิ่งปรายตาไปยังสตรีอีกนางซึ่งมีศักดิ์เป็นอาสะใภ้ของนางนั่นเอง ก่อนจะดึงสายตากลับมาสบเข้ากับชายหนุ่ม โดยมีแววเว้าวอนฉายชัดออกมาให้ชายหนุ่มได้เห็น ลั่วหยวนชีหันกลับยังคนที่นำทางเขามาพบคู่หมั้นยังศาลาแห่งนี้ ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าหวานละมุนที่แสดงความเอียงอายให้เขาได้เห็น
“ข้าชอบความเป็นส่วนตัว” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาชัดถ้อยคำ แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่าเขาต้องการอยู่กับคู่หมั้นเพียงลำพังก็ตามที ทว่าเพียงแค่นี้คนฟังย่อมเข้าใจได้อย่างชัดเจน
“เอ่อ...หม่อมฉันขอตัวเพค่ะ” สตรีที่ยืนมองคนทั้งคู่อยู่นับตั้งแต่ก้าวมาถึงยังศาลา ได้เอ่ยขึ้นในทันที เมื่อชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์กล่าวจบ