บทที่9
ลู่หลงเทียนเปิดเทียบเชิญในมือ ชายหนุ่มกวาดสายตามองทุกตัวอักษรด้วยความรู้สึกอันว่างเปล่า มิได้รู้สึกยินดีอันใดเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะยื่นส่งต่อให้แก่ลู่หลินเซียน หญิงสาวรับมากวาดสายตาเพียงผ่าน ๆ พร้อมทั้งหันไปสบตากับผู้เป็นพี่ชาย รอยยิ้มมุมปากของนางได้ยกขึ้นช้า ๆ ทำให้ลู่หลงเทียนได้แต่ส่ายหัวน้อย ๆ กับพฤติกรรมเยี่ยงบุรุษของผู้เป็นน้องสาว
“เซียนเอ๋อร์ เจ้ามันน่าตีนัก ดูทำเข้า หากบุรุษใดมาพบเห็น จะกล้าสู่ขอเจ้าแต่งเข้าบ้านรึ”
“พี่ใหญ่ ข้าร่ำรวยถึงปานนี้ มีบุรุษบ้านใดกล้าปฏิเสธข้ารึ
หึ ๆ”
“ฮา ๆ พี่รู้อยู่แล้ว แค่เย้าเจ้าเล่น เพราะมิอยากเห็นรอยยิ้มมุมปากของเจ้าอย่างไรเล่า”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” หลินเซียนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“เพราะมันมักจะมาพร้อมกับเรื่องอันตราย เจ้าคิดว่ามีคราใดบ้างที่เจ้าแสดงอาการเช่นนี้แล้วไม่มีการเจ็บตัว หืม!”
“แหะ ๆ”
ลู่หลินเซียนได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ เมื่อคำพูดของพี่ชายนั้น มันเป็นความจริง หญิงสาวจึงเสไปยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้นที่จะได้เจอกับคนสกุลมู่อีกครั้ง พร้อมอำนาจที่นางมีในมือ
“เจ้าจะไปจริงรึ”
ชายหนุ่มรู้คำตอบในใจของน้องสาวดี แต่เผื่อว่านางจะเปลี่ยนใจจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ด้วยใจลึก ๆ นั้น เขาทนมองคนเหล่านั้นนานมิได้จึงไม่อยากที่จะก้าวเท้าเข้าไปยังสกุลมู่ แต่หากน้องสาวทั้งสองไป ผู้เป็นพี่ใหญ่ก็ต้องติดตามไปเพื่อคอยปกป้องทั้งคู่ให้ปลอดภัย เขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นในอดีตที่ผ่านมากับน้องสาวทั้งอีกเป็นอันขาด
“ข้าจะไปจริงเจ้าค่ะท่านพี่ เหตุใดข้าต้องปฏิเสธสุราอาหารฟรีด้วยเล่าเจ้าคะ”
คำพูดติดตลกของลู่หลินเซียนนั้น ในความรู้สึกของผู้เป็นพี่ชายและน้องสาวกลับบ่งบอกได้ว่ามันมิได้สื่อถึงความน่าขันเลยแม้แต่น้อย ความเงียบจึงเข้าครอบงำภายในห้องอีกครั้ง ทำให้คนที่กำลังจะก้าวเข้ามาด้านในจำต้องนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อบ้านชราจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“นายท่าน คุณหนู ขนมดอกบัวจากคุณชายเฉินขอรับ”
“อ่า…ของโปรดข้ามาแล้ว”
หลินเซียนมิพูดเปล่า มือบางได้ยื่นออกไปคว้าหยิบขนมในจานส่งเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เผียะ! มือหนาของลู่หลงเทียนตีลงยังต้นแขนของน้องสาว
“เจ้ามันเหลือเกินเซียนเอ๋อร์”
“พี่ใหญ่ก็อย่าได้รุนแรงนักสิเจ้าค่ะ มือหนักเช่นนี้ สตรีใดจะกล้าแต่งเข้าบ้านเรากัน”
“พี่รองมิรู้อันใดเสียแล้ว สตรีทั่วหล้าย่อมปรารถนาในตัวพี่ใหญ่ยิ่งนัก”
ชิงชิงเอ่ยยอพี่ชายเพียงคนเดียวด้วยรอยยิ้มละมุน พี่ชายของนางรูปงามมิแพ้ผู้ใด มีหรือจะไร้สตรีเหลียวมอง นางเองก็ผ่านการปักปิ่นมาแล้ว เรื่องการเลือกคู่ครองย่อมต้องเริ่มมีเข้ามา แม่สื่อจากหลายเมืองคงเริ่มพากันเทียวเข้าออกบ้านนางเป็นว่าเล่น ทว่า ทุกอย่างอยู่ที่ใจนางเองเท่านั้น นี่คือคำพูดของพี่ ๆ ที่ได้เอ่ยกับตัวนางในวันปักปิ่น
“หึ ๆ เจ้าช่างพูดนักน้องเล็ก เอาเป็นว่า เจ้าจัดเตรียมเสื้อผ้าให้พี่สำหรับไปสกุลมู่ในวันพรุ่งนี้ด้วยก็แล้วกัน ถ้าเตรียมให้พี่สาวเจ้าด้วยจะดีมากมาย”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
“ท่านลุงอี๋ รบกวนท่านจัดหาของกำนัลให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”
“ขอรับนายท่าน ข้าน้อยจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยขอรับ”
“ขอบคุณท่านลุงมาก”
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอรับนายท่าน”
พ่อบ้านชราค้อมศีรษะให้แก่เจ้านายทั้งสาม ก่อนจะถอยหลังเล็กน้อยแล้วหมุนกายออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อชายชราจากไปแล้ว ทั้งสามพี่น้องก็ได้กลับมาพูดคุยเย้าแหย่กันเล่นโดยมิได้เอ่ยเรื่องของการไปยังบ้านสกุลมู่แต่อย่างใด ซึ่งมันมิเป็นไปตามความคาดหมายของใครบางคนที่ได้แอบซ่อนกายเพื่อต้องการที่จะได้ยิน
มู่เฉินอันกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ไม่อยากจะคาดคิดไปไกล ว่าบุรุษรูปงามด้านล่างนั่นจะเป็นพี่ชายคนโต หากเป็นเช่น
นั้นจริง เขาจะหมดโอกาสในหลาย ๆ อย่างโดยเฉพาะตำแหน่งทายาท
อันดับหนึ่งของตระกูล เมื่อผู้เป็นพ่อได้ให้เขานำเทียบเชิญมายังหอโอสถเมฆา เฉินอันได้มอบมันให้แก่คนของที่นี่โดยไม่คิดที่จะเข้าไปพบหรือเชื้อเชิญเจ้าบ้านด้วยตนเอง
เมื่อหมดหน้าที่ เขาได้แสร้งกลับจวน ทว่าแท้จริงแล้วมิได้ไปที่อื่นอย่างที่คนของหอโอสถเมฆาคิด ที่นี่ดูจะหละหลวม มิได้กวดขันเรื่องเวรยามอย่างที่คนภายนอกคิด ไยผู้คนถึงได้เกรงกลัวคนของหอโอสถเมฆาแห่งนี้กันนัก หากเก่งกาจดั่งปากว่า ป่านนี้คงจับได้แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ มิใช่ยังเฉยเมยอยู่เช่นนี้
‘ข้าจะไม่ยอมสูญเสียอำนาจที่เป็นของข้าไปแม้แต่อย่างเดียว’
มู่เฉินอันไม่รู้เลยว่าความคิดของเขานั้นจะส่งผลอะไรบ้างหากเขาได้กระทำมันขึ้นมาจริง ๆ ชายหนุ่มหารู้ไม่ว่า เวลานี้ ตัวเขานั้นได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของใครอีกคน
‘พวกเด็กสิ้นคิด หอโอสถเมฆาใช่ที่ให้แมงเม่ามาบินเล่นไฟเช่นนั้นรึอย่างไรกัน’
เจ้าของสายตาบ่นอยู่ภายในใจ หากมิใช่คำสั่งให้ปล่อยคนผู้นี้ไป ป่านนี้คงจัดการฝังกลบในแบบของเขาไปนานแล้ว มิปล่อยให้เด็กน้อยตรงหน้ากำแหงอยู่ได้ถึงครึ่งก้านธูปเช่นนี้เป็นแน่
เวลาเย็น ณ จวนสกุลมู่ ในวันถัดมา
ห้องอาหารใหญ่ของจวนสกุลมู่ถูกจัดวางโต๊ะเพิ่มขึ้น ทุกอย่างได้จัดวางอย่างหรูหราเพื่อต้อนรับแขกสำคัญในวันนี้ ถึงอย่างไร หอโอสถเมฆาก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น ทั้งยังมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนกับราชวงศ์ หากไม่ใส่ใจให้มาก ถือว่าเป็นการพาครอบครัวก้าวลงสู่หุบเหวโดยมิรู้ตัว
“อาหารพร้อมกันรึยัง วันนี้อย่าได้ทำข้าเสียหน้าก็แล้วกัน ไม่ว่าคนพวกนี้จะใช่หรือไม่ใช่หลานข้าก็อย่าได้ละเลย อย่างไรเสีย พวกเขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนายแห่งหอโอสถเมฆา”
ทุกถ้อยคำของหมู่ตงซินนั้น หากฟังให้ดีแล้ว มันมิใช่อารมณ์ของคนเกลียดชัง ทว่าเป็นอาการของคนตื่นเต้นยินดีเสียมากกว่า ทุกคำพูดเสมือนตอกย้ำถึงอำนาจของแขกในค่ำคืนนี้ต่อคนในบ้าน ทำให้หลายคนอดหวาดหวั่นถึงการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของสกุลมู่ยิ่งนัก เพราะหากคนที่มาในค่ำคืนนี้คือคนไร้สามารถเมื่อครั้งในอดีต นั่นเท่ากับทุกอย่างจะถูกโอนไปยังสามพี่น้องนั่นอย่างแน่นอน ด้วยเวลานี้ทั้งสามยืนในจุดที่เรียกว่าเหนือลูกหลานคนอื่นในตระกูลมากนัก