บทที่8
“เจ้าเอาอะไรมาพูด ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็รู้ว่าอี้ชิ่งคือบุตรสาวคนโตของพวกเจ้า”
“ตอนนี้อาจมิเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“เหลวไหล อี้หลิน อย่าได้พูดเพียงเพื่อหาทางออกที่เป็นไปไม่ได้”
มู่ต๋าไห่ตวาดภรรยาเสียงดัง เวลานี้ เขาไม่คิดเลยว่าภรรยาที่เคยฉลาดล้ำจะโง่เขลาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ นางพูดสิ่งใดออกมากัน ช่างทำให้เขาอับอายพี่น้องยิ่งนัก
“หลินเซียนกลับมาแล้ว เพียงนำนางกลับเข้าสกุลมู่ อี้ชิ่งก็มิจำเป็นต้องแต่เข้าจวนอ๋องสี่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ในเมื่อบุตรสาวคนโตคือมู่หลินเซียน มิใช่อี้ชิ่งของเรา”
“เหลวไหล เจ้าเอาสิ่งใดมาพูด อี้หลิน”
ชายชราตวาดลูกสะใภ้เสียงดัง ด้วยเรื่องการตายของหลานอีกสามคนนั้นไร้ข่าวคราวนับตั้งแต่วันที่ทั้งสามประกาศตัดขาดกับสกุลมู่ไปแล้ว เพราะคนที่ส่งไปจัดการกับสามพี่น้องก็ได้หายไปเช่นกัน จึงทำให้ไม่อาจรู้แน่แท้ว่าทั้งสามยังอยู่หรือตาย
“จริงเจ้าค่ะท่านปู่ อี้ชิ่งเห็นกับตาว่านั่นคือหลินเซียนกับ
ชิงชิง พวกนางกลับมาเมืองหลวงจริง ๆ นะเจ้าคะ ตะ…แต่…”
“แต่…อันใด อี้ชิ่ง บอกปู่สิ ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ ปู่ก็ยินดีที่จะลากพวกมันมารับผิดชอบชะตากรรมนี้แทนหลานปู่ให้จงได้”
คำพูดของมู่ตงซินทำให้ใครบางคนที่กำลังจะก้าวเข้ามายังประตูอีกด้านถึงกับชะงักเท้า พร้อมสะท้อนความเจ็บปวดและเกลียดชังคนสกุลมู่อย่างถึงที่สุด นางมีชีวิตเพียงหุ่นเชิด ไร้อำนาจใดในฐานะนายหญิงใหญ่แห่งสกุลมู่ ยิ่งมาได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นสามีคิดจะตามทำลายหลาน ๆ อีกสามคนทำให้นางตัดสินใจบางอย่างได้โดยมิจำเป็นต้องลังเล
‘ท่านพี่ เป็นท่านเองที่ทำลายสกุลมู่ ข้าจะทำในสิ่งที่ตัวข้าสมควรใช้สิทธิ์นั้นเช่นกัน’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างท้วมของสตรีผู้เคยเป็นหนึ่งในสกุลได้หมุนกายจากไปในทันที โดยมิสนใจรอฟังว่าหลานสาวคนดีของสามีจะเอ่ยสิ่งใดต่อ
ด้านมู่ตงซินร้อนใจนัก เมื่อมองเห็นสีหน้าของหลานสาวที่ดูตื่นกลัว ภายในใจพานคิดไปแล้วว่า เมื่อตอนที่นางออกไปข้างนอกมานั้นอาจถูกรังแกมาก็เป็นได้
“คือว่า...หลานได้ยินคนเรียกหลินเซียนว่า นายหญิงแห่งหอโอสถเมฆาเจ้าค่ะ”
ทุกคนภายในห้องต่างมีสีหน้าแตกตื่นเมื่อได้ยินชื่อของหอโอสถเมฆา มีใครบ้างไม่รู้ว่าหอยาชั้นหนึ่งแห่งนี้เป็นของเทพโอสถ ซึ่งข่าววงในนั้นกล่าวขวัญกันว่าเป็นสหายสนิทขององค์ฮ่องเต้ ยากที่ใครจะได้พบพานหมอเทวดาฉายานามเทพโอสถผู้นี้
“นายหญิงเช่นนั้นหรือ...หรือว่านางคือเทพโอสถผู้นั้น” เสียงของใครสักคนในห้อโถงเปรยออกมา
มู่ตงซินตวัดสายตาขึงกร้าวไปมองแต่ก็พบเพียงการก้มหน้าของบรรดาลูกชายหญิงและคู่ครอง จึงหันกลับมาเอ่ยกับหลานรักต่อ
“เจ้าเอาอะไรมาพูดกันอี้ชิ่ง ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้ หลินเซียนยังไม่ตาย ทั้งยังเป็นนายหญิงแห่งหอโอสถเมฆางั้นรึ พลิกฟ้าเป็นดินได้ยังจะน่าเชื่อกว่ากระมัง”
“ท่านแม่เองก็ได้ยินเหมือนกันกับข้านะเจ้าคะ ท่านปู่” อี้ชิ่งใช้น้ำเสียงวิงวอน ส่งสายตายืนยันให้ผู้เป็นปู่เชื่อในคำพูดของตน ก่อนจะหันไปหามารดาเพื่อให้ช่วยเป็นพยานอีกเสียงหนึ่ง
“จริงเจ้าค่ะท่านพ่อ ผู้ดูแลร้านผ้าเรียกนางอย่างนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจในฐานะของนาง อาจเป็นคนของเทพโอสถหรือภรรยาของเขาก็ได้ แต่ต่อให้นางเป็นเทพโอสถจริง ข้าก็จะลากนางมาทำหน้าที่นี้แทนอี้ชิ่งให้ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“ต๋าไห่ ทำเทียบเชิญเทพโอสถแห่งหอโอสถเมฆามากินข้าวกับพวกเราคืนพรุ่งนี้ ใช้ตำแหน่งของเจ้าเชื้อเชิญนางสองพี่น้องมาด้วยล่ะ หากเจ้าตาบอดนั่นยังอยู่ก็ให้มาด้วย ข้าต้องได้เห็นกับตาว่าใช่พวกมันจริงหรือไม่”
“ขอรับท่านพ่อ”
คนเช่นมู่ตงซิน หากมิได้เห็นกับตา เขาจะไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้ภายในใจลึก ๆ จะมีความหวังในการช่วยเหลือหลานสาว แต่อีกส่วนหนึ่งนั้น หากเทพโอสถคือหลานสาวที่เขามองข้ามไปเมื่อนานมาแล้วจริง ๆ ย่อมมีค่ามากกว่าหลานสาวที่อยู่ในอ้อมกอดยามนี้หลายเท่านัก
หอโอสถเมฆา
“ฮิฮิ…ท่านพี่ วันนี้ ชิงชิงสนุกมากเลยเจ้าค่ะ”
เสียงหวานของเด็กสาวทำให้ทุกคนต่างยิ้มตาม ความสดใสร่าเริงของลู่ชิงชิงทำให้คนรอบกายต่างมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ลู่หลินเซียนหัวเราะชอบใจกับอาการของน้องสาว ความองอาจประหนึ่งบุรุษของนางนั้นไม่ได้เป็นที่แปลกใจของคนภายในหอโอสถเมฆาเลยแม้แต่น้อย การที่หญิงสาวหัวเราะเสียงดัง การเดินนั่งมิได้นิ่มนวลเฉกเช่นผู้เป็นน้องและพี่ชายเป็นภาพที่ชินตาของคนที่นี่ไปเสียแล้ว
“สนุกปานนั้นเลยรึน้องเล็ก แต่พี่ว่าคนที่สนุกน่าจะเป็นพี่สาวเจ้ามากกว่ากระมัง หึ ๆ”
“ท่านพี่ ข้าก็แค่รู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“คงเปิดเต็มที่เลยสินะ ชิงชิง”
ร่างสูงก้าวพ้นประตูเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินไปโอบไหล่น้องสาวคนเล็กด้วยความรักใคร่
“พี่ใหญ่ ชิงชิงซื้อผ้ามาตัดเสื้อให้ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก พี่ภูมิใจในตัวเจ้าเหลือเกินน้องเล็ก งดงามอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรียิ่งนัก”
“จะว่าข้าก็เอ่ยออกมาตรง ๆ เถิดท่านพี่ มิต้องอ้อมค้อมไปไกลเลยเจ้าค่ะ”
“ฮา ๆ / ฮา ๆ”
ลู่หลงเทียนหัวเราะเสียงดังประสานเสียงกับลู่หลินเซียน ส่วนลู่ชิงชิงเพียงยกชายเสื้อปิดปากหัวเราะเบา ๆ อย่างมีจริตของสตรี ทำให้พ่อบ้านที่นำชาและอาหารมาว่างเข้ามาให้แก่ผู้เป็นนายทั้งสามยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกเอ็นดูสามพี่น้องที่เขาดูแลมาหลายปีด้วยความรักดั่งลูกหลานของตนเอง ก่อนจะก้าวจากไปอย่างเงียบ ๆ
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าจะหาสามีได้หรือไม่ หากยังไร้ความเป็น
กุลสตรีอยู่เช่นนี้ หืม!”
“มีไปทำไมกันสามี หากมีแล้ววันหนึ่งเป็นเช่นที่เราเคยพบเจอ”
“สักวันเจ้าจะคิดใหม่” หลงเทียนเพียงลอบถอนใจเบา ๆ กับความคิดผิดแผกของน้องรอง
“ข้าจะรอวันนั้นเช่นกัน”
คำพูดของพี่ชายนั้น แท้จริงมีความในแฝงอยู่ มีหรือที่หลินเซียนจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่จะยอมให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นมา ตราบใดที่ยังไม่ได้ทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่ใครบางคน
แม้ว่านางและพี่น้องไม่คิดที่จะช่วงชิงสิ่งใดกลับมาจากคนสกุลมู่ แต่อย่างไร พวกนางก็ต้องออกสู่สายตาผู้คนอยู่ดี แล้วเมื่อนั้น คนสกุลมู่ก็ต้องดาหน้าเข้ามาหาพวกนางดั่งแมลงบินวนบุปผา ไยมิชิงลงมือก่อนเล่าเพื่อความได้เปรียบ ตีเหล็กย่อมต้องตีตอนร้อน ถึงจะได้ดั่งใจและคุ้มค่าแรงที่ลงทุนไปด้วย
ลู่หลงเทียนทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาน้อย ๆ กับความคำพูดของผู้เป็นน้องสาว เขารู้จักนางดีกว่าผู้ใด แม้ภายนอกแข็งกระด้าง ทว่า ภายในนั้นช่างเปราะบางยิ่งนัก หลายต่อหลายครั้งที่ชายหนุ่มต้องแสร้งไม่รับรู้ถึงอาการสะอื้นไห้ของน้องรองในยามสิ้นหวังเมื่อครั้งต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในครั้งอดีต
สามพี่น้องนั่งสนทนากันอย่างออกรสเพื่อรอเวลาอาหารมื้อค่ำ ในระหว่างนั้นเอง เสียงเดินจากด้านนอกได้ใกล้เข้ามา ทำให้เสียงสนทนายุติลงไปชั่วขณะ
“เรียนนายท่าน มีเทียบเชิญจากสกุลมู่ขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ยรายงาน เมื่อเห็นว่าด้านในเงียบเสียงลง เพราะรับรู้ถึงการมาของเขา
“เอาเข้ามาได้”
มู่หลงเทียนเอ่ยเสียงเรียบ ทุกอย่างช่างเป็นไปตามคาดหมายของน้องสาวตัวดีเสียเหลือเกิน
‘ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกท่านนักหรอก แต่เมื่อสิ่งที่พวกท่านทำต่อคนสำคัญของพวกข้าในอดีต แผลนี้ ข้าจะกรีดจนกว่าสกุลมู่จะดับดิ้นไปต่อหน้าจึงจะถือว่าหมดสิ้นหนี้แค้น’
“ขอรับ”
ชายหนุ่มผลักประตูให้เปิดออกอย่างเบามือ ก่อนจะก้าวตรงไปยังผู้เป็นนายใหญ่ของหอโอสถเมฆาแห่งนี้ พร้อมยื่นเทียบเชิญจากสกุลมู่แก่ผู้เป็นนาย
“ผู้ใดนำมารึ”
ลู่หลินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“คุณชายใหญ่มู่เฉินอันขอรับนายหญิง”
“ฮา ๆ คุณชายใหญ่เลยรึ ไยเขามิเป็นผู้นำมามอบแก่ท่านพี่ด้วยตนเองเล่า ทำเช่นนี้ มันมิเสียมารยาทเกินสักหน่อยหรืออย่างไรกัน”
ลู่หลินเซียนเอ่ยประชดออกไปลอย ๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบโดยมิเอ่ยสิ่งใดต่อ
“เอาน่าเซียนเอ๋อร์เรื่องเล็กน้อย เจ้าจะตำหนิเขาไปเพื่ออันใด เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ของสกุลโด่งดัง จะลดตัวมาพบปะพวกต่ำชั้นเช่นเราได้อย่างไรกัน”
ลู่ชิงชิงทำเพียงยิ้มน้อย ๆ เมื่อพี่ชายและผู้เป็นพี่สาวต่างเอ่ยคำพูดตำหนิคนส่งเทียบเชิญประหนึ่งอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าก็มิปาน
ลู่หลงเทียนกวักมือเรียกผู้ติดตามให้เข้าใกล้เพื่อบอกบาง
อย่าง ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ได้รับคำสั่งจะรีบหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูปิดลงทุกอย่างภายในห้องก็ได้กลับมาเป็นดั่งเช่นก่อนหน้า นั่นคือเสียงเย้าแหย่ของสามพี่น้อง