บทที่7
ร้านผ้า สกุลเฉิน สาขาแคว้นเจ่า
ร่างระหงทว่าสูงเพรียวกว่าสตรีทั่วไปก้าวเข้าไปภายในร้านผ้าชื่อดังของเมืองหลวงแคว้นเจ่า โดยมีหญิงสาวหน้าตาอ่อนหวานก้าวตามเข้ามาด้านในด้วย ทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าสตรีมากมายภายในร้าน ด้วยความแตกต่างของทั้งคู่ หนึ่งเย็นชา ทว่างดงามประหนึ่งดอกเหมยกุ้ยป่าที่มีหนามแหลมคม อีกหนึ่งอ่อนหวานงดงามดั่งอิงฮวา น่าทะนุถนอม
ลู่หลินเซียนกวาดสายตามองหาเป้าหมายที่ทำให้นางจำต้องพาน้องสาวมายังร้านผ้าแห่งนี้ ซึ่งด้วยฐานะนายหญิงแห่งหอโอสถเมฆา ทุกอย่างที่นางต้องการจะถูกจัดหาโดยที่มิต้องก้าวออกจากเรือนแม้เพียงครึ่งก้าวเลยด้วยซ้ำไป ยิ่งตอนนี้ ชิงชิงกำลังเติบโตเป็นสาวงาม ความเป็นพี่ทำให้นางหวงแหนจนมิต้องการให้บุรุษใดได้ยลโฉมผู้เป็นน้องสาว
“พี่รองจะดูผ้าแบบใดหรือเจ้าคะ”
“นั่นคือหน้าที่ของเจ้า น้องเล็ก พี่แค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตาก็เท่านั้น”
ร้านผ้าของสกุลเฉินนั้นไม่มีผู้ใดมิรู้จักสองพี่น้องสกุลลู่ แค่เพียงรถม้าของหอโอสถเมฆาจอดเทียบหน้าร้าน คนดูแลจำต้องรีบวางงานที่ติดพันเพื่อออกมาต้อนรับหญิงสาวทั้ง โดยมิยอมให้ทั้งคู่ต้องเสียเวลารั้งรอนาน
“นายหญิงลู่ คุณหนูลู่แห่งหอโอสถเมฆาให้เกียรติมาถึงที่ร้านด้วยตนเอง ช่างน่ายินดียิ่งนัก เชิญด้านในก่อนขอรับ วันนี้ เรามีผ้าไหมชั้นดีเข้ามาใหม่ ยังมิทันนำออกมาวางในชั้น นายท่านสั่งไว้แล้วว่าให้นายหญิงและคุณหนูได้เลือกสรรเสียก่อนขอรับ”
คำพูดของคนดูแลทำให้หญิงสาวหลายคนถึงกับชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ โดยเฉพาะสตรีสองนางที่ยืนเลือกผ้าอยู่อีกด้านของร้าน
มู่อี้ชิ่งกำหมัดแน่นเมื่อมองเห็นพี่น้องสกุลลู่ อีกคนที่แสดงความตื่นตะลึงจนนิ่งงันไปคือฉีอี้หลิน ผู้เป็นแม่ของมู่อี้ชิ่ง
‘เป็นไปไม่ได้’
นางจำรอยยิ้มของภรรยาอีกคนของสามีได้ดี แม้หญิงสาวผู้นั้นจะตายจากไปนานนับสิบปีก็ตาม ตอนนี้ เด็กสาวในชุดสีม่วงอ่อนนั่นเสมือนเป็นเงาร่างที่ถอดแบบกันมาก็มิปาน ยิ่งมองเลยไปยังหญิงสาวชุดสีแดงเพลิง ฉีอี้หลินถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งกาย นางจำได้ไม่มีทางลืมเลือน แม้ว่าตอนนี้รูปร่างหน้าตาของคนที่นางจ้องมองอยู่จะเปลี่ยนไปมากทีเดียว ทว่า มันกลับเปลี่ยนไปเหมือนใครอีกคนที่นางคุ้นเคย
‘ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายลูก ๆ ของข้าได้ ไม่เว้นแม้แต่เจ้า หลินเซียน’
มู่หลินเซียนยกยิ้มมุมปาก เมื่อตอนนี้ นางถูกเป้าหมายที่ต้องการจ้องมองอยู่ การปรากฏตัวของนางในวันนี้ก็เพื่อทำให้สองแม่ลูกร้อนรนจนรีบคาบข่าวกลับไปบอกประมุขสกุลมู่
‘มันถึงเวลาของข้าแล้ว ครอบครัวอันเป็นที่รัก หึ ๆ’
“พี่รอง ผ้าพับนี้เหมาะกับพี่ใหญ่ยิ่งนัก ชิงชิงจะนำไปตัดชุดให้พี่ใหญ่นะเจ้าคะ”
“พี่เคยขัดใจเจ้าหรือไม่ หืม!”
“เช่นนั้น ชิงชิงจะเลือกให้พี่รองด้วย”
ลู่ชิงชิงไม่ได้ตอบคำถามของผู้เป็นพี่สาว ทว่ากลับเอ่ยไปเรื่องอื่นเสีย แม้นางดูบอบบางในสายตาผู้อื่น แต่หารู้ไม่ว่า นับตั้งแต่วันที่รอดชีวิตจากความตายที่วัดหลุ่ยอิงมาได้ นางได้เป็นชิงชิงคนใหม่แล้ว
และวันนี้ มีหรือนางจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของผู้เป็นพี่สาว หอโอสถเมฆาเปิดมากว่าสามปี แต่กลับไม่มีใครเคยพบเจอนายหญิงผู้เป็นเจ้าของแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้ พี่สาวของนางได้เปิดเผยใบหน้าให้ชาวเมืองได้ยลโฉม นั่นย่อมต้องมีเหตุผล
‘จากนี้ ข้าชิงชิงขอไว้อาลัยให้แก่พวกท่านสกุลมู่’
รอยยิ้มละมุนของหญิงสาวทำให้ความงามของนางยิ่งดูโดดเด่น จนสตรีด้วยกันยังเผลอมองจนมิอาจละสายตา หากเทียบกับหญิงงามที่จัดว่าอันดับหนึ่งของแคว้นเช่นมู่อี้ชิ่งแล้ว ทว่าเวลานี้ได้ปรากฏสาวงามผู้พิชิตคุณหนูสกุลมู่ได้อย่างขาดลอยก็ว่าได้ ด้วยวัย ความอ่อนหวาน และผิวพรรณของคุณหนูลู่แล้ว มองอย่างไรก็เหนือกว่าคุณหนูมู่หลายเท่าตัว
“ท่านแม่ ใช่พวกมันหรือไม่เจ้าคะ”
“กลับจวนกัน เดี๋ยวก็รู้ว่าใช่พวกมันหรือไม่”
เอ่ยจบ มือบางได้วางพับผ้าลง ก่อนจะพากันเดินจากไปอย่างรีบร้อนโดยไม่สนใจที่จะตอบคำถามของคนดูแลร้าน สองแม่ลูกต่างร้อนใจไปคนละอย่าง สำหรับมู่อี้ชิ่ง นางรู้สึกเสมือนถูกมองข้ามเมื่อทุกสายตาต่างชื่นชมในความงามของคุณหนูลู่คนน้อง และทุกคนต่างเกรงขามในอำนาจของนายหญิงลู่คนพี่ จนทำให้นางผู้เป็นหนึ่งมาตลอดดูด้อยค่าจนมิอาจทนรับเรื่องเช่นนี้ได้
ส่วนฉีอี้หลินนั้นกลับกำลังหวาดกลัวเรื่องที่นางเก็บซ่อนเอาไว้จะเปิดเผยออกมา ด้วยความเหมือนใครบางคนของนายหญิงลู่ ในสิ่งที่นางนั้นพยายามปิดบังมาตลอด มันอาจเป็นสาเหตุให้อนาคตของนางและบุตรชายหญิงตกที่นั่งลำบากเอาได้ นางต้องทำบาง
อย่างเพื่อความอยู่รอดของตนเองและลูก ๆ นั่นคือต้องกำจัดใครก็ตามที่อาจเป็นภัย ต่อให้สองพี่น้องสกุลลู่มิใช่คนที่คาดคิด นางก็มิคิดละเว้น
‘จะไม่มีคำว่าผิดพลาดสำหรับคนเช่นข้า’
ลู่หลินเซียนมองตามหลังสองแม่ลูกไปด้วยรอยยิ้มหยัน
‘มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ข้าพร้อมสำหรับการทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่คนที่พวกเจ้ารังแกจนตาย’
ความลับที่นางและพี่ชายได้รับรู้มา ทำให้ความรังเกียจที่มีต่อสกุลมู่มีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
เรือนพักหลังร้านผ้า ร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีดำยืนมองไปยังประตูเชื่อมไปยังตัวร้านด้วยแววตาไหวระริก ทว่า ใบหน้ากลับยังคงนิ่งสนิทดั่งเดิมเฉกเช่นที่ทุกคนเห็นอยู่เป็นนิจ จะมีเพียงชายหนุ่มอีกคนที่นั่งใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นท้อที่กำลังออกดอกเบ่งบานสวยงาม ยิ่งขับเน้นให้เจ้าของร่างสูงใหญ่สง่างามในชุดสีเขียวใบไผ่ดูโดดเด่น
สองผู้ติดตามคนสนิททำเพียงทอดถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นผู้เป็นนายทั้งสองดูเหม่อลอยจนมิสนใจคำพูดของพวกเขาที่เอ่ยถามออกไปมากมาย
“ดูท่าคุณชายสามกับคุณชายน้อยจะตกบ่วงรักเสียแล้วกระมัง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น จิ้ง”
คนพี่ดูนิ่งเงียบ แต่หวงแหนจนสามารถสังหารใครก็ตามที่เข้าใกล้ของรัก ส่วนคนน้องดูจะคลั่งไคล้ในตัวของหญิงสาวอีกคนมาตั้งแต่ยังมิเข้าวัยหนุ่มด้วยซ้ำไป งานหนักก็คงมิพ้นพวกเขาผู้ติดตามอีกแล้วกระมัง
“ทำอันใดกันอยู่ มิรีบแจ้งข่าวแก่นายน้อยทั้งสองเล่า”
เสียงดุดันดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เมื่อถูกพ่อบ้านชราเอ่ยตำหนิ นามของเขาคือ ‘จ้าวอัน’ ผู้ผันตัวจากคนนำทางมาเป็นพ่อบ้านประจำตัวคุณชายสามและคุณชายน้อย ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเป็นอยู่ของคุณชายทั้งสองจะต้องผ่านจ้าวอันทุกสิ่งอย่าง
“ขอรับท่านลุง…ตะ…แต่…เอ่อ…”
“มีอะไร ไยจึงพูดตะกุกตะกักเช่นนั้น”
น้ำเสียงดุดันของพ่อบ้านชราทำให้จิ้งและติ้งทำเพียงส่งสายตาละห้อยพร้อมยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป ก่อนจะเหล่มองไปยังผู้เป็นนายทั้งสองคน จ้าวอันมองตามสายตาของทั้งคู่ไปก่อนจะทำเพียงยิ้มน้อย ๆ