บทที่5
ภายในตัวเรือน ร่างอ้วนกลมของมู่ชิงชิงในตอนนี้กำลังยืนบนเก้าอี้ที่นางลากมาชิดขอบหน้าต่าง ก่อนจะก้าวขาค่อย ๆ หย่อนตัวออกไปอีกฝั่ง ด้วยก่อนที่จะกินข้าว นางได้สำรวจด้านนอกหน้าต่างแล้วว่าไม่ได้เป็นหน้าผา ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหากต้องเกิดเรื่องร้ายกับพี่ ๆ จะต้องออกไปร้องขอความช่วยเหลือจากหลวงจีนที่พักอยู่อีกฟากของเรือนพักให้ได้
ตุบ!
ร่างอ้วนกลมล้มลงหลังจากทิ้งทั้งกายพ้นของหน้าต่าง มู่
ชิงชิงไม่ยอมเสียเวลาโอดครวญกับความเจ็บปวด น้ำตาของเด็กน้อยเอ่อคลอก่อนจะวิ่งไปตามป่าข้างตัวเรือน เพื่ออ้อมไปอีกด้านให้ได้
เด็กน้อยวิ่งสุดฝีเท้า ไม่สนใจกับขาที่ถูกหินบาด พลั่ก! ร่างกลมล้มลงอย่างแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่กีดขวางทางของตนเอาไว้
เมื่อเห็นว่าเป็นเงาร่างของบุรุษ ร่างน้อยได้กระถดกายถอยหลังด้วยความตื่นกลัว ก่อนจะควานหาไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุด เด็กน้อยรีบลุกขึ้น พร้อมชี้ท่อนไม้ในมือไปยังสองร่างที่ยืนอยู่ในเงามืด
“ข้าขอสู้ตาย ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าทำร้ายท่านพี่ของข้าได้ฮือ ๆ”
เฉินต้าจงและเฉินหยางหันมองหน้ากันเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองร่างเล็กตรงหน้าที่กำลังขู่ฟ่อดั่งลูกแมวตื่นกลัวก็
มิปาน
“ไยข้าต้องทำร้ายเจ้าด้วย เด็กน้อย”
“อย่ามาหลอกข้า ท่านพ่อส่งพวกเจ้ามาสังหารพวกเราพี่น้อง เจ้าอย่าหวังจะทำได้สำเร็จ”
อาการตื่นกลัวของมู่ชิงชิงทำให้สองพี่น้องเริ่มนิ่งเพื่อรวบรวมสมาธิจับความผิดปกติรอบกาย พวกเขาออกมาเดินเล่นโดยไม่ได้ให้สองผู้ดูแลติดตามออกมา ด้วยไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอันตรายภายในเขตวัดเช่นนี้ ยิ่งคำพูดเร็วรัวของเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมเสียงสะอื้นอย่างคนเสียขวัญ ยิ่งเพิ่มความกดดันให้ทั้งคู่ เมื่อต้องคิดหาวิธีให้เด็กน้อยสงบลงเสียก่อนค่อยสอบถามถึงที่มาของอาการหวาดกลัวของนาง
เฉินต้าจงก้าวเข้าหาเด็กน้อยตรงหน้าก่อนจะใช้ความว่องไวคว้าจับท่อนไม้ในมือน้อย ๆ นั้นเอามาถือไว้ พร้อมใช้แขนอีกข้างรวบร่างอ้วนกลมมาไว้ในอ้อมแขน เขาหมายจะทำให้นางหลับเสียก่อน
“อ๊ากกก!”
“อื้อ!” ฟันเล็กงับเข้าที่หน้าท้องแกร่งของเด็กหนุ่มอย่างแรง
แต่ถึงอย่างนั้น เฉินต้าจงกลับไม่ได้ทำร้ายเจ้าของปากน้อย ๆ ที่ยังทาบอยู่บนหน้าท้องของตน แม้จะเจ็บอยู่มาก แต่ก็ไม่อาจทำร้ายเด็กน้อยที่กำลังเสียขวัญซึ่งร่างน้อยกำลังสั่นสะท้านจนเขารู้สึกได้ มืออีกข้างที่เคยถือท่อนไม้ของเด็กน้อยเอาไว้ได้วางลง ก่อนจะวางทาบแผ่นหลังน้อย ๆ ที่กำลังสะท้านไหวอย่างรุนแรง แล้วลูบขึ้นลงเพื่อปลอบโยนให้นางสงบอาการ
มู่ชิงชิงยังคงหลับตาแน่น ฟันเล็ก ๆ ยังคงไม่ยอมคลายออกจากคนที่กำลังกอดรัดนางเอาไว้ แม้จะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมิได้คิดทำร้าย แต่ด้วยความหวาดกลัวที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจนับตั้งแต่ก้าวออกจากจวนแล้ว ทำให้นางไม่อาจเก็บกดเอาความรู้สึกทั้งหมดซ่อนไว้ได้อีกต่อไป
“น้องสาว ใครกันที่จะสังหารเจ้า พอจะบอกข้าสองคนพี่น้องได้หรือไม่”
“อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน พวกข้าไม่โตพอจะเป็นนักฆ่าได้กระมัง เจ้าลองลืมตาแล้วมองดูข้าสองคนอีกสักครั้งจะได้หรือไม่”
มู่ชิงชิงนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ อ้าปากออกเพื่อให้เนื้อใต้เสื้อผ้าของคนที่โอบกอดนางอยู่ได้เป็นอิสระ
เด็กน้อยทบทวนอยู่ภายในใจ เวลาเช่นนี้ สำหรับนางแล้วไม่มีอะไรจะเสีย ไยมิลองเสี่ยงดูสักครั้ง อย่างไร ถ้าทั้งคู่คือคนร้าย นางก็ยากที่จะรอดชีวิตไปได้ แล้วทำไมจะต้องหวาดกลัวไปเล่า
‘อย่างไร ข้าก็ต้องตายอยู่แล้ว’
เฉินหยางยกแท่งไฟที่เพิ่งจุดขึ้นใกล้ใบหน้าของตนกับพี่ชาย ก่อนจะพากันยิ้มกว้างส่งให้เด็กน้อย เด็กชายยื่นแท่งไฟไปใกล้ใบหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเห็นดวงหน้าเปื้อนน้ำตา จากรอยยิ้มที่หมายให้เด็กหญิงผ่อนคลายจึงกลายเป็นความตึงเครียดขึ้นมาทันที เมื่อสบเข้ากับแววตาของเด็กน้อยตัวอ้วน เขาก็หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเองอายุเท่านาง
“น้องสาว เจ้าต้องการความช่วยเหลือใช่หรือไม่”
“ใช่…ขะ…ข้าต้องการ ฮือ ๆ ท่านพี่ของข้ากำลังจะถูกสังหารแล้วในตอนนี้” นิ้วน้อย ๆ ชี้ไปยังทิศทางที่ตนเองจากมา
สองพี่น้องหันไปตามทิศทางนั้นในทันที ทั้งคู่หันสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเป็นอันเข้าใจกัน ต้าจงก้มลงอุ้มร่างอ้วนกลมโดยไม่สนอาการตัวแข็งทื่อของเด็กน้อย ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบามุ่งไปยังทิศทางนั้นในทันที
เสียงการต่อสู้อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เฉินหยางถึงกับคิ้วขมวดเข้าเป็นปม เขาจำได้ว่าตอนเดินผ่านเรือนหลังนี้ไปยังลานชมดาวนั้น มันยังดูเงียบสงบอยู่เลย ทว่าเวลานี้กลับเห็นเงาร่างภายใต้แสงคบเพลิงกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
เฉินหยางมิรอช้า ดึงขลุ่ยซึ่งเป็นอาวุธประจำกายออกมาก่อนจะพุ่งเข้าไปยังกลุ่มคนทั้งหมด
‘อ๊ะ! เป็นนาง’
เด็กชายถึงกับดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าคนที่เขาต้องมาช่วยคือผู้ใด
เชร้ง!
ขลุ่ยหยกถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเด็กชายวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคือง เหล็กแหลมที่โผล่ออกมาจากขลุ่ยหยก ตวัดพาดผ่านลำคอของหนึ่งในชายชุดดำ
ชายชุดดำที่เหลือจ้องมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพากันพุ่งเข้าจู่โจมผู้มาใหม่ในทันที
เคล้ง!
ดาบโค้งของต้าจงพุ่งเข้าสกัดกระบี่ของหนึ่งในชายชุดดำที่กำลังจะต้องกายของผู้ที่เป็นน้องชาย
พรึ่บ!
ร่างสูงของเด็กหนุ่มเหินกายลงตรงหน้าของสองพี่น้องสกุลมู่ โดยแขนอีกข้างยังคงมีร่างอ้วนกลมของมู่ชิงชิง
ฉึบ! ดาบโค้งคู่กายหมุนวนกลับเข้าสู่มือของต้าจงอีกครั้ง
“กล้าดีอย่างไรคิดจะแตะต้องตัวหยางหยาง ข้าจะไม่มีวันอภัยให้แก่เจ้าเป็นอันขาด” ต้าจงคำรามก้องก่อนจะวางร่างอ้วนลงพื้น เชร้ง! เป็นจังหวะที่ชายชุดดำพุ่งเข้าหาพอดี
มู่ชิงชิงที่เป็นอิสระจากอ้อมแขนเด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของพี่สาวด้วยความเป็นห่วงนักหนา
“เจ้าทำอันใดชิงชิง” มู่หลินเซียนรวบกอดน้องสาวเอาไว้แน่น พร้อมเอ่ยถามเสียงสั่น
“ชิงชิงรึ” มู่หลงเทียนเอ่ยถามขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นน้องสาว มือเรียวสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสกับมือน้อย ๆ ที่วางทาบทับแขนของเขา
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะท่านพี่ แต่หากมิทำเช่นนี้ ข้าก็ต้องเสียพวกท่านไป ฮึก!”
“พวกเขาคือใครกันเล่าที่เจ้าพามา”
“ข้ามิรู้ ข้าตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือจากหลวงจีน แต่พบพวกเขาระหว่างทางเจ้าค่ะ”
“เซียนเอ๋อร์ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
มู่หลินเซียนยังคงไม่ตอบคำถามของผู้เป็นพี่ชาย ดวงตาคู่งามมองไปยังผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยพวกนางด้วยแววตาประหลาดใจ เท่าที่นางเห็นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าคนของผู้เป็นบิดานั้นจะตกเป็นรองคนทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด ไอแห่งการฆ่าฟันดูจะพวยพุ่งออกจากกายของเด็กชายที่ถูกเรียกว่าหยางหยางมากกว่าอีกคน
“เก่งกาจกว่าคนของท่านพ่อยิ่งนัก”
“คนที่ท่านพ่อส่งมานั้นก็เพียงปลายแถว เขาคงมิคิดว่าจะต้องพบกับคนที่เหนือกว่า เจ้าอย่าลืมว่าพวกเราเป็นแค่คนไร้สามารถ”
“จริงของท่านพี่”