บทที่4
วัดหลุ่ยอิง
ภายในห้องพักวัดหลุ่ยอิง ร่างสูงเกินวัยของเด็กชายวัยสิบสองนั่งวาดภาพอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จิ้งที่นั่งฝนหมึกให้แก่ผู้เป็นนายได้คอยลอบมองใบหน้าหล่อเหลาอยู่เป็นระยะ
นับตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน คุณชายหยางหยางมีอาการอมยิ้มเหม่อลอย ทุกอย่างเสมือนไม่อยู่ในสายตาของคุณชายน้อยเลยสักนิด ทุกภาพที่ลงมือวาดนั้นแตกต่างจากที่เคยทำยิ่งนัก เพราะทุกภาพเป็นเด็กสาวซึ่งเขาจำได้ว่า เจออยู่ในตรอกเมืองหลวงแคว้นเจ่านั่นเอง
“คุณชายน้อยขอรับ”
“…”
จิ้งทำได้เพียงอ้าปากค้าง เมื่อคิดว่าจะเอ่ยถามต่อ แต่ไร้คำตอบจากผู้เป็นนาย เขาจึงทำเพียงก้มหน้าฝนหมึกต่อไป
แอ๊ด!! เสียงประตูห้องถูกเปิดออก ร่างสูงของติ้งก้าวเข้ามาด้านในพร้อมถาดอาหาร จิ้งเงยหน้าสบตากับสหายรักก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ โดยสายตาเหล่มองไปทางผู้เป็นนาย ติ้งทำเพียงอมยิ้มกับอาการของสหายรักและผู้เป็นนาย เท้าหนาก้าวตรงไปยังโต๊ะของคุณชายน้อยนั่งอยู่ ก่อนจะวางถาดอาหารลงอย่างเบามือ สายตาคมชำเลืองมองไปยังภาพวาดบนโต๊ะ
“คุณชายขอรับ กินอะไรสักหน่อยก่อนนะขอรับ ฟ้ามืดมานานแล้ว กินข้าวเสร็จ ประเดี๋ยวข้าจะได้เตรียมน้ำให้ท่านอาบนะขอรับ”
“อืม! พวกพี่ก็มากินพร้อมกันเลย ข้ารู้สึกอยากออกไปเดินรับลมสักหน่อยหลังมื้อค่ำ”
“ขอรับคุณชาย”
“พี่สามไปที่ใดกัน มืดแล้วยังไม่มากินข้าวอีก”
“พี่อยู่นี่…มีแต่เจ้านั่นละที่เอาแต่วาดรูปจนลืมเลือนพี่ไป”
เฉินต้าจงก้าวผ่านประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหารอีกชุดในมือ จิ้งรีบเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไปไว้อีกมุมของห้อง ก่อนจะมาช่วยจัดอาหารบนโต๊ะ ทั้งสี่นั่งประจำที่ก่อนจะพากันกินอาหารอย่างเงียบ ๆ จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูป ทุกคนจึงได้วางตะเกียบในมือลง ทุกอย่างที่นำมาหมดเกลี้ยง มิหลงเหลือให้เสียของแม้แต่น้อย
“ท่านพี่ เราไปเดินเล่นกันสักหน่อยจะดีหรือไม่ขอรับ คืนนี้เดือนมืดทำให้ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นพร่างพราวยิ่งนักนะขอรับ”
“เอาสิ! แล้วค่อยกลับมาอาบน้ำกัน อย่างไรเสีย พี่ก็มิมีงานใดที่ต้องทำในตอนนี้”
สองพี่น้องพากันก้าวออกจากห้องตรงไปยังลานชมดาว ซึ่งเป็นลานหินกว้างอยู่ทิศตะวันออกของวัด สองพี่น้องพูดคุยกันเรื่องทั่วไปโดยไม่รู้เลยว่าเรือนพักที่ทั้งคู่ผ่านมานั้นกำลังจะเกิดภัยร้ายขึ้น
เรือนพักหลังเล็กที่ห่างจากเรือนหลังอื่นมาทิศตะวันออกของวัด สามพี่น้องกำลังนั่งกินอาหารที่หลวงจีนนำมาให้ แม้จะเป็นเพียงผัดผักธรรมดา แต่มันกลับล้ำค่าสำหรับทั้งสามคนยิ่งนัก และยังเป็นมื้อแรกที่ทั้งสามมิถูกรังแกยามต้องกินอาหารเช่นนี้ แม้ว่าภายในใจของมู่หลงเทียนและมู่หลินเซียนนั้นจะหวาดหวั่นอยู่มิน้อยก็ตาม ในเมื่อศัตรูที่กำลังจับตาดูพวกเขาอยู่นั้นรอเพียงเวลาลงมือ
“ชิงชิง เด็กดี อิ่มแล้วก็รีบเข้านอนเถอะนะ คืนนี้ พี่ใหญ่เหนื่อยมากแล้ว”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่ ชิงชิงจะไม่ดื้อเจ้าค่ะ”
เด็กน้อยตัวกลมยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าน้อย ๆ นั้นจะมีความอิดโรยอยู่มากก็ตาม มู่หลินเซียนนำผ้าชุบน้ำส่งให้พี่ชายเช็ดใบหน้า ส่วนนางนั้นใช้อีกผืนจัดการทำความสะอาดให้แก่น้องสาวคนเล็ก ก่อนจะอุ้มร่างกลมขึ้นนอนบนเตียง
เมื่อน้องสาวห่มผ้าหลับตาลงแล้ว มู่หลินเซียนคว้าอาวุธมาไว้ในมือก่อนจะเดินตรงไปนั่งข้างผู้เป็นพี่ชาย มือเรียวที่ไร้ความนุ่มนิ่มดั่งเด็กสาวคนอื่นวางทาบทับบนมือของผู้เป็นพี่ก่อนจะบีบเบา ๆ
“เซียนเอ๋อร์ พี่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ พี่รู้ดีว่าถึงอย่างไร คนสกุลมู่จะไม่มีวันยอมให้เราพี่น้องรอดไปได้เป็นแน่ พี่ขอโทษที่ปกป้องพวกเจ้าได้ไม่ดีพอ”
“ท่านพี่ มันมิใช่ความผิดของท่านเลยสักนิด มันผิดที่พ่อแม่ของเรารักลูกมิเท่าเทียมกัน ไม่สิ! พวกเขารักในอำนาจมากกว่าสายเลือดเสียอีก”
“พาชิงชิงหนีไปเสียเซียนเอ๋อร์ ปล่อยให้ชะตากรรมนี้สิ้นสุดที่พี่”
“ท่านพี่ ยังมิทันเห็นศพอย่าเพิ่งไว้ทุกข์ ข้าจะเคียงข้างท่านจนตัวข้าจะตาย ขอแค่ชิงชิงปลอดภัยก็พอแล้ว หากชะตาของข้าเกิดมาเพื่อตาย ข้าก็พร้อมที่จะรับมัน ทว่าหากชะตาของข้าจะได้ทวงคืนทุกสิ่ง ข้าก็จะมิมีวันปล่อยโอกาสให้หลุดมือเช่นกัน”
“พี่จะไม่ยอมแพ้ต่อชะตาในครานี้ หากเรารอดไปได้ พี่สัญญาว่าสกุลมู่ต้องชดใช้ให้กับน้อง ๆ ของพี่”
มือหนาตบอีกข้างตบลงหนัก ๆ ยังหลังมือของผู้เป็นน้องสาว ทั้งคู่เตรียมพร้อมที่จะพบเจอกับชะตากรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วจากเบื้องบน มู่หลินเซียนเป่าเทียนให้ดับลงก่อนจะลุกขึ้นพร้อมผู้เป็นพี่ชาย ทั้งคู่ก้าวตรงไปยังประตูห้องเพื่อออกไปด้านนอก
ค่ำคืนนี้ ฟ้าโปร่งยิ่งนัก ดวงดาวพร่างพราวงดงาม ทว่าสำหรับสองพี่น้องมันคือคืนที่จะตัดสินชีวิตของพวกเขาว่าจะอยู่หรือตาย อาวุธในมือถูกกระชับแน่น มู่หลงเทียนใช้ผ้าคาดปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ เพื่อใช้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นในการต่อสู้ เพราะหากเขาพยายามเพ่งมองมากเท่าใด ย่อมทำให้เสียสมาธิมากขึ้นเท่านั้น
“คุณชายใหญ่ คุณหนูใหญ่ พวกท่านมิน่ารนหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้เลย หากพวกท่านยอมจำนน ข้าจะช่วยให้พวกท่านได้หลับสบายรวมทั้งคุณหนูห้า”
“ทำหน้าที่ของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าสองพี่น้องก็ทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน”
มือเรียวกระชับด้ามกระบี่แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ดึงออกจากฝักอย่างใจเย็น อาการตื่นกลัวไม่มีแสดงออกให้อีกฝ่ายได้เห็นแม้แต่น้อย คบไฟหน้าเรือนพักยังคงขยับไหวตามสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมาเป็นระยะ มู่หลินเซียนเองก็มิต่างจากผู้เป็นพี่ชาย แววตาของเด็กสาวดูเยือกเย็นกว่าที่เคยหลายเท่าตัว เสมือนกับว่าเรื่องการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องคุ้นชินของนางอย่างไรอย่างนั้น
ชายในชุดดำทั้งสามมองลูกหลานที่ถูกสั่งกำจัดของสกุลมู่ด้วยความสมเพช คุณชายใหญ่ผู้เคยโดดเด่นทั้งบู๊และบุ๋น บัดนี้เป็นเพียงคนพิการ กับน้องสาววิปลาสไร้สามารถ แต่กลับพากันจับอาวุธเพื่อต่อสู้กับพวกเขาเพื่อรักษาชีวิต
‘เช่นนั้น คืนนี้ ข้าจะเล่นกับพวกเจ้าสักหน่อยก็แล้วกันเด็กน้อย’
สองพี่น้องสกุลมู่ขยับออกห่างกันเพียงเล็กน้อย เพื่อให้สะดวกต่อการตั้งรับศัตรู หนึ่งในชายชุดดำขยับเข้าหาสองพี่น้อง
เชร้ง! เป็นมู่หลินเซียนที่เข้าขัดขวางการจู่โจมที่พุ่งตรงไปที่พี่ชายของนาง ทำให้ชายชุดดำถึงกับถอยหลังไปหลายก้าว และอีกสองคนก็รู้สึกไม่ต่างกันคือ ไยคุณหนูใหญ่ของบ้านที่ไร้วิชายุทธ์ กลับต้านรับการโจมตีได้ด้วยเพียงกระบวนท่าเดียว
มู่หลินเซียนกระชับด้ามอาวุธหน้าตาแปลกประหลาดในสายตาของคนอื่น ด้วยมันเป็นเสมือนเหล็กที่หล่อขึ้นให้กลมมีปลายแหลมคม รอบ ๆ ท่อนเหล็กขนาดพอดีกับตัวของเจ้าของนั้นถูกสลักลวดลายสวยงามอ่อนช้อย
ครั้งนี้ การโจมตีของชายชุดดำจึงเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง มู่หลงเทียนที่คอยฟังการเคลื่อนไหวได้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็วเข้าช่วยผู้เป็นน้องสาว สองพี่น้องเจ็บร้าวไปทั้งแขน แต่ไม่มีใครปริปากร้องออกมาแม้แต่น้อย ถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้กับคนของบิดาอยู่ดี อย่างมากก็แค่เพียงต้านทานเอาไว้เท่านั้น เรือนพักหลังนี้ห่างจากเรือนพักของเหล่าหลวงจีน ทำให้ยากจะขอความช่วยเหลือจากใครได้ ถึงแม้จะมีคนมาเห็นก็ใช่ว่าจะเอาชนะนักฆ่าของสกุลมู่ได้
‘ท่านเล่นตลกกับชีวิตข้ามากเกินไปแล้วสวรรค์ ท่านเคยคิดจะมอบโชคชะตาแห่งผู้กำชัยแก่ข้าบ้างหรือไม่’
มู่หลินเซียนตัดพ้อเบื้องบนอย่างเดือดดาลอยู่ภายในใจ สองพี่น้องยังไร้บาดแผล ทว่าภายในกลับบอบช้ำจนแทบจะขยับกายไม่ได้แล้ว
มู่หลงเทียนขบกรามแน่นจนฟันแทบแตกละเอียด หากไม่เจ็บป่วยจนห่างหายการฝึกฝน มีหรือคนพวกนี้จะได้แตะต้องเขาและน้องสาว มิหนำซ้ำ ฝีมือของมู่หลินเซียนยังไม่ถึงขั้นที่จะต่อกรกับนักฆ่าได้
ผ้าที่ใช้ปิดตาของเด็กหนุ่มมีรอยชื้นซึมออกมาโดยอาศัยความมืดปิดบังมันเอาไว้ มันคือน้ำตาแห่งความคับแค้นอยู่ภายในใจ