บทที่3
หน้าจวนสกุลมู่…
มู่หลงเทียนและมู่หลินเซียน ก้าวข้ามประตูจวนโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เรื่องที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วยามก่อนนั้น คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า มู่อี้ชิ่งต้องการกำจัดพวกตนออกจากสกุลมู่
“สักวัน…ข้าจะทำให้พวกเขาต้องมาร้องขอชีวิต”
มู่หลินเซียนเอ่ยเสียงลอดไรฟัน ด้วยความเจ็บช้ำในหัวใจยิ่งนัก เพียงเพราะหน้าตาที่ไร้ความงามกับบุตรชายที่ต้องพิการเพราะถูกลอบทำร้าย แทนที่จะมอบความรักเอ็นดูหรือเมตตาสงสาร แต่คนสกุลมู่กลับมองพวกเขาเป็นเพียงขยะไร้ค่า
“หึ ๆ เซียนเอ๋อร์ พี่ว่าเจ้าควรคิดก่อนเถอะว่า ตอนนี้ เราสองพี่น้องจะรอดไปได้อีกสักกี่วันกัน หืม!”
“จะกี่วันได้อย่างไรกันพี่ใหญ่ ข้าจะต้องหาทางรักษาท่านให้หาย และเราจะรอดจนสามารถแก้แค้นคนพวกนี้ได้”
“อย่างนั้นรึ! พี่เชื่อใจเจ้าน้องรัก จะห่วงก็แต่ชิงชิง นางจะอยู่อย่างไรหากไร้เจ้าและพี่ปกป้อง”
“ไปกันเถอะท่านพี่ เราจะออกไปทางประตูตะวันตกกัน”
มู่หลินเซียน ไม่ได้ตอบคำถามของพี่ชายหรือออกความคิดเห็นใด ๆ ทำเพียงจับจูงพี่ชายเดินหายไปยังฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรน่าจดจำสำหรับนางอีกต่อไป
ภายในจวน
“ต๋าไห่ อย่าให้ลูกของเจ้าสร้างปัญหาให้สกุลมู่ จัดการให้เรียบร้อยเข้าใจหรือไม่”
มู่ตงซินก้าวเข้าไปพูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงที่ยังคุกรุ่นอยู่มิน้อย เขารู้สึกเสียหน้ากับการจากไปของหลานชายหญิงเป็นที่สุด เมื่อทั้งคู่ต้องการออกไปจากจวน เขาก็จะช่วยสงเคราะห์ให้หายไป มิต้องหวนคืนมาชั่วชีวิต
“ขอรับท่านพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว”
มู่ต๋าไห่เข้าใจในคำสั่งของผู้เป็นพ่อดี เขาเองก็ใช่อยากจะให้เรื่องของสองพี่น้องนั่นมาฉุดรั้งอนาคตของตนและลูก ๆ อีกสองคนที่กำลังมีชีวิตรุ่งโรจน์อยู่ในตอนนี้
มู่อี้ชิ่งอาจรั้งตำแหน่งสูงในวัง ส่วนมู่เฉินอันก็โดดเด่นเรื่องฝีมือตั้งแต่เยาว์ นับว่าเป็นหน้าตาและความหวังของเขา ที่จะช่วยหนุนนำตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปให้มั่นคง
‘ข้าจะไม่ยอมให้ทุกอย่างพังลง เพียงเพราะมีบุตรไร้ค่า’
ถนนเส้นเล็ก มุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทิศตะวันตก
แดดยามบ่ายช่างร้อนระอุนัก แต่สองพี่น้องก็ยังคงเดินมิยอมหยุดพัก พวกเขาต้องออกให้พ้นเมืองหลวงก่อนมืดให้ได้
“ท่านพี่!”
สองร่างชะงักหยุดในทันทีเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ดังจากด้าน
หลัง ก่อนจะรีบหันกลับไปหาเจ้าของเสียงที่กำลังหายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้า
“ชิงชิง…ไยมิทำตามที่พี่บอกเล่า”
มู่หลินเซียนเอ่ยถามด้วยความตกใจ นางจำได้ว่าบอกให้น้องสาวนั้นหลบไปอยู่กับท่านย่าสามยังเรือนริมน้ำ เพื่อความปลอดภัยเมื่ออยู่ในจวน แต่ไยน้องสาวต่างมารดาถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้
“ไม่เอา…ให้ข้าไปด้วย ข้ามิอยากอยู่กับคนใจร้าย ฮือ ๆ”
ร่างอ้วนกลมวิ่งเข้าสวมกอดพี่สาว ก่อนจะผละไปสวมกอดพี่ชายคนโตเอาไว้แน่น
“ชิงชิง ทำไมพูดเช่นนั้น อย่างไรเสีย ท่านย่าสามก็เอ็นดูเจ้ามิน้อย”
“พี่ใหญ่ อย่าไล่ชิงชิงเลยนะเจ้าคะ ข้าไปตามที่พี่รองบอกแล้ว แต่ว่า…”
จากนั้น เรื่องราวที่สองพี่น้องมิคาดคิดว่าจะได้ยินก็พรั่งพรูออกมาจากปากน้อย ๆ ของน้องสาวคนเล็กที่อาภัพมารดา อยู่ในความดูแลของมู่หลงเทียนและมู่หลินเซียนนับตั้งแต่แม่ของนางตายไป
“ไม่มีมิตรแท้ ในวังวนแห่งอำนาจสินะเจ้าคะ พี่ใหญ่”
คำพูดแผ่วเบาของมู่หลินเซียนทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่หลงเทียน
“ไปกันเถอะ นอกเมืองหลวงอาจไม่ปลอดภัยนัก เราต้องไปให้ถึงวัดหลุ่ยอิงก่อนมืด เรื่องที่ผ่านมาถือว่ามันเป็นบทเรียน”
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ชิงชิงนำสิ่งนี้มาให้ท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ”
พูดจบร่างกลมได้ผละออกจากพี่ชาย วิ่งกลับไปยังข้าวของที่วางกองอยู่จุดที่ตนเคยยืนอยู่เมื่อครู่ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาพวกเขา มู่หลินเซียนถึงกับจุกไปทั่วทั้งอก เมื่อเห็นน้องสาวแบกห่อผ้าและของบางอย่างที่ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าสีดำ เด็กสาวก้าวเข้าไปช่วยคนเป็นน้องถือ ก่อนจะพากันเดินกลับไปหาพี่ชาย
“ชิงชิง เอาสิ่งใดมาให้พี่กัน หืม!”
น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่ชายทำให้เด็กน้อยยิ้มร่า ก่อนจะเอาสิ่งที่พันด้วยผ้าสีดำไปใส่ในมือหนาของผู้เป็นพี่ เพียงแค่สัมผัส มู่หลงเทียนถึงกับใจหายวาบ เด็กอ้วนผู้นี้แบกกระบี่ของเขาตามมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน นางมิรู้สึกหนักเลยหรือ
“ของพี่รอง ข้าก็เอามาให้เช่นกันเจ้าค่ะ”
มู่หลินเซียนพยายามฝืนยิ้ม พร้อมทั้งกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา ไม่เช่นนั้น น้องน้อยของนางอาจเกิดความกลัวเอาได้ มือบางเปิดห่อผ้าออกก็พบกับอาวุธที่นางแอบสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง และฝึกฝนจากตำราโดยมีพี่ชายคอยชี้แนะ คนสกุลมู่มิเคยล่วงรู้เรื่องนี้ของนางมาก่อน
“เซียนเอ๋อร์…รีบเข้าเถอะ”
น้ำเสียงของมู่หลงเทียนดูจะเคร่งเครียดกว่าเดิมหลายเท่าตัว มู่หลินเซียนรวบถือข้าวของที่น้องสาวนำมาทั้งหมดมาไว้ในมือ ก่อนจะจูงมือน้องน้อยโดยที่ชิงชิงจับมือกับพี่ชายอีกข้าง
สามพี่น้องยังคงคุยกันเล่น เหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงสายตาของมู่หลงเทียนและมู่หลินเซียนเท่านั้นที่สบกันเป็นระยะ โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาให้มู่ชิงชิงรับรู้
แม้ความเจ็บปวดจากการถูกทุบตีของเด็กหนุ่มมีอยู่มาก แต่เพื่อความปลอดภัยของน้อง ๆ มู่หลงเทียนข่มกลั้นเอาไว้จนสุดความสามารถ ในที่สุด ทั้งสามก็ก้าวพ้นประตูเมืองออกมาได้ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังวัดหลุ่ยอิง ตลอดทางเด็กน้อยชิงชิงคอยถามพี่ชายของนางว่าเหนื่อยหรือไม่ ทั้งที่ตัวนางเองนั้นยังเล็กนัก ซ้ำยังอ้วนกลมอีกด้วย
“ขี่หลังพี่หรือไม่ชิงชิง…มาเถอะ พี่ใหญ่จะแบกเจ้าเอง”
มู่หลงเทียนหยุดยืน พร้อมย่อกายลงต่ำ เขาจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว ดวงตาที่มองเห็นเพียงเลือนรางในตอนกลางวันนั้นว่าแย่แล้ว แต่ยามค่ำคืน เขาคือคนที่ดวงตาบอดสนิทอย่างแท้จริง
ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออันตรายได้ย่างกรายใกล้เข้ามาแล้ว เหลือรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น คนที่ตามติดพวกเขาอยู่ก็คงลงมือเป็นแน่ อย่างน้อยในวัดยังมีที่พอให้น้องสาวคนเล็กได้ซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัย ทั้งยังมีหลวงจีนอยู่หลายรูป คนที่ตามมาคงลงมือได้ไม่สะดวกนัก
มู่ชิงชิงส่ายหัวปฏิเสธ แต่มู่หลินเซียนกลับดันตัวน้องสาวขึ้นหลังพี่ชาย เด็กน้อยได้แต่ทำตามพี่ ๆ ด้วยความมึนงง เพราะสภาพของพี่ชายคนโตนั้นไม่ควรที่จะแบกนางไว้บนหลังเช่นนี้
มู่หลงเทียนกัดริมฝีปากแน่น เมื่อถูกน้ำหนักตัวของน้องสาวกดทับบาดแผล
“พี่ใหญ่…ไหวหรือไม่เจ้าคะ ชิงชิงทำท่านเจ็บใช่ไหมเจ้าคะ” มู่ชิงชิงเอ่ยถามพี่ชายเสียงสั่น
“ไม่เลยน้องรัก…ตัวเจ้าเบาราวปุยนุ่น” มู่หลงเทียนปลอบใจน้องสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
แคว่กกก!
เสียงฉีกผ้าดังอยู่ข้าง ๆ ตัวทำให้สองพี่น้องหันไปตามเสียง ด้วยความสงสัยว่ามู่หลินเซียนกำลังทำอะไรอยู่
มือหยาบกร้านของเด็กสาวจับเข้าที่ข้อมือของพี่ชาย ก่อนจะใช้ผ้าที่ฉีกเป็นทางยาว ผูกข้อมือของมู่หลงเทียนเอาไว้
“จะมืดแล้วพี่ใหญ่ ทำแบบนี้ ท่านจะได้เดินได้สะดวกขึ้น ข้าจะนำทางท่านเอง”
ไม่มีคำพูดใดจากมู่หลงเทียนนอกจากรอยยิ้มกว้าง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็เร่งออกเดินทางต่อ หนทางเริ่มเปลี่ยว แสงแดดเริ่มสาดส่องลงมาไม่ถึงพื้นดินในบางช่วง ป่าเริ่มทึบขึ้นทุกที ยังดีว่าทั้งสองคอยฝึกฝนร่างกายกันอยู่เสมอ จึงทำให้การเดินทางไม่เป็นปัญหามากนัก จะมีก็แค่เพียงการมองไม่เห็นของมู่หลงเทียนเท่านั้น