บทที่ 5
ภูผารีบเดินตรงไปพบพ่อแม่อันเป็นที่รักของเขาทันที เขายกมือไหว้ท่านทั้งสองอย่างที่เคยทำอยู่เป็นประจำ ในเวลาที่จะออกจากบ้านและเวลากลับเข้าบ้าน เพราะถูกอบรมสั่งสอนมาเช่นนั้น
“ป้าน้อมบอกผมว่าพ่อกับแม่อยากพบผม”
“ใช่พ่อกับแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับภู”
“เรื่องอะไรครับ”
ภูผาถามด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่ เขารับรู้ได้ถึงความตึงเครียดที่อบอวลอยู่ในขณะนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าบิดามารดาสร้างความตึงเครียดให้กับเขา
ลางสังหรณ์ของเขามันบอกว่าเรื่องที่ท่านทั้งสองจะพูดกับเขาต่อไปนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญจริง และมันน่าจะสร้างปัญหาหรือแรงกดดันให้เขาได้ไม่น้อย แต่ถึงแม้จะวิตกอยู่บ้างเขาก็ซ่อนมันไว้ได้อย่างมิดชิดภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เพชรลดาไม่รอช้าเธอเริ่มเปิดประเด็นกับลูกชายทันทีเช่นกัน
“ภูมีผู้หญิงที่คบหาดูใจกันหรือยังลูก”
แค่มารดาเอ่ยปากภูผาก็รู้ได้ทันทีว่าหัวข้อที่จะพูดกันในค่ำคืนนี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้นเรื่องการแต่งงาน
“ยังครับผมยังไม่เจอใครที่ถูกใจ”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถทำให้หัวใจของลูกสั่นไหวได้บ้างเลยเหรอ ไม่มีเลยสักคน” เพชรลดาถามย้ำ
“ตอนนี้ยังไม่มีครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่จะแนะนำผู้หญิงให้ภูเอง”
“เรื่องนี้เราเคยพูดกันหลายครั้งแล้วนะครับแม่ ผู้หญิงของผม ผมเลือกเองได้ คงไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ช่วยเลือกให้หรอกครับ”
“แล้วเมื่อไรภูจะพาผู้หญิงที่ลูกเลือกมาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จัก”
เจอคำถามคาดคั้นแบบนี้ของมารดาเข้าไปก็ทำให้ภูผาถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ดูเหมือนในค่ำคืนนี้มารดาของเขาจะจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“ผมตอบไม่ได้หรอกครับแม่ไว้ผมเจอคนที่ใช่เมื่อไร ผมจะรีบพาเธอมาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักทันทีเลยครับ”
เพชรลดาหันไปสบตากับสามีพร้อมกับพยักหน้าส่งสัญญาณ ให้เขาพูดกับบุตรชายถึงมาตรการที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา
“ภูตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อพูดให้ดีนะลูก พ่อกับแม่ได้ปรึกษากันแล้วว่าภูจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ลูกเลือกภายในระยะเวลาที่พ่อกับแม่กำหนด และเราเห็นพ้องต้องกันว่าเราจะให้เวลาลูกจนถึงวันครบรอบวันเกิดยี่สิบเจ็ดปีของลูก ซึ่งมันจะเหลือเวลาอีกเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น ถ้าภูเพิกเฉยหรือทำไม่ได้ตามข้อเสนอที่พ่อกับแม่ยื่นไปในระยะเวลาที่กำหนด พ่อและแม่จะถือว่าภูสละสิทธิที่จะรับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เรามีอยู่ และจะยกทรัพย์สินทุกอย่างให้กับการกุศล หรือไม่ลูกก็ต้องยอมไปดูตัวผู้หญิงที่เราเลือกให้ และแต่งงานกันตามความต้องการของเรา”
คำพูดของบิดานั้นเหมือนกับสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาตรงหน้าภูผา เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านทั้งสองยื่นคำขาดกับเขาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกท่านจะไม่เคยพูดเคี่ยวเข็ญเรื่องการแต่งงานของเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พูดกันถึงเรื่องนี้
แต่นี่คือครั้งแรกที่บิดาเป็นคนพูดกับเขาอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นหมายความว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงคำขู่แต่เป็นสัญญาณเตือน ถ้าเขาทำไม่ได้ตามที่ท่านทั้งสองกำหนดมา
เขาจะถูกตัดออกจากกองมรดกและจะไม่ได้รับทรัพย์สมบัติใดใดของท่านเลยสักชิ้น ที่จริงแล้วถึงเขาจะไม่มีสิทธิในทรัพย์สมบัติมากมายของพวกท่าน เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาเพราะภูผามั่นใจในความรู้ความสามารถของตนเอง ว่าจะสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวของเขาเอง แต่มันไม่ยุติธรรมสักนิดมันไม่ควรที่จะเป็นแบบนี้
“ทำไมจู่ๆ พ่อกับแม่ถึงเคี่ยวเข็ญให้ผมรีบแต่งงานล่ะครับ”
“ก็วัยของภูมันสมควรที่จะสร้างครอบครัวได้แล้ว แต่แม่ยังไม่เห็นวี่แววว่าภูจะสนใจผู้หญิงคนไหนจนถึงขั้นขอเธอแต่งงานซะที”
“แม่กับพ่อก็เลยยื่นคำขาดกับผมแบบนี้เหรอครับ มันไม่ยุติธรรมสักนิด และผมจะไปหาผู้หญิงที่ดีพร้อมแบบแม่ได้ที่ไหนภายในระยะเวลาเพียงแค่หกเดือน”
“นั่นเป็นเรื่องที่ภูจะต้องจัดการเอง หรือถ้าภูอยากให้พ่อกับแม่แนะนำผู้หญิงให้ก็ได้นะ ลูกสาวท่านรัฐมนตรีคลังเพื่อนสนิทของพ่อก็เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากอังกฤษ ชื่ออะไรนะคะภพ” ประโยคหลังเพชรลดาหันไปถามสามีที่นั่งอยู่ข้างตัว
“วิภาดา”
“ถ้าภูอยากรู้จักกับหนูวิภาดาล่ะก็ แม่จะให้พ่อช่วยพูดกับท่านรัฐมนตรีคลังให้เอาไหม” ภูผารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ขอบคุณครับแม่แต่คงจะไม่จำเป็น อย่างที่ผมเคยบอกผู้หญิงของผม ผมจะเป็นคนเลือกเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ...เรื่องสำคัญที่พ่อกับแม่จะพูดกับภูก็มีเท่านี้ ถ้าไม่มีอะไรข้องใจก็กลับไปพักผ่อนได้”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
สีหน้าที่เคร่งขรึมของภูผาก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องนั้น บ่งบอกให้ผู้เป็นบิดามารดารับรู้ได้ว่า เขารู้สึกวิตกกังวลกับข้อเสนอที่ท่านทั้งสองยื่นมาให้มากน้อยแค่ไหน ก้องภพหันไปสบตาเพชรลดา
“เราทำกับลูกเกินไปหรือเปล่าคุณ”
“ไม่หรอกค่ะคุณเชื่อฉันสิคะ กับนายภูเราจะต้องใช้ไม้แข็งแบบนี้ล่ะค่ะถึงจะได้ผล แล้วคุณห้ามใจอ่อนกับลูกนะคะ และอย่ารับฟังข้อต่อรองใดใดทั้งสิ้น”
“ผมเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นลูกจะไปคว้าผู้หญิงไม่ดีมาทำเมียน่ะสิ คุณไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างเลยหรือดา”
“ฉันว่าลูกของเราคงจะไม่คิดสั้น ไปคว้าผู้หญิงไม่ดีมาทำเมียหรอกค่ะ เพราะผู้หญิงคนนี้จะต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ช่วยไม่ได้ ถึงตอนนั้นเราสองคนค่อยมาคิดหาวิธีแก้ไขกันอีกที ตอนนี้ทำได้แค่รอดูท่าทีของลูกไปก่อน สิ่งสำคัญก็คือคุณห้ามใจอ่อนกับลูกเด็ดขาดเข้าใจไหมคะ อย่าให้ฉันมารู้ทีหลังนะว่าคุณกับลูกไปตกลง หรือต่อรองอะไรกันลับหลังฉันไม่อย่างนั้นล่ะน่าดู นี่ก็ดึกมากแล้วเราสองคนไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ”
ก้องภพและเพชรลดาเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง หลังจากนั้นไม่นานก้องภพก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของภรรยา ดูเหมือนเธอจะไม่ได้วิตกทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องที่พูดกับลูกก่อนหน้านี้ ซึ่งต่างจากเขาที่ดูเหมือนว่าจะนอนไม่หลับเพราะเฝ้าครุ่นคิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นเดียวกับภูผาที่คิดแต่เรื่องนี้จนนอนไม่หลับ และเลือกที่จะลงมานั่งดื่มเหล้าดับทุกข์ในใจ เขายังหาวิธีแก้ปมปัญหานี้ไม่ได้มันมืดแปดด้านไปหมด คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดามารดายื่นคำขาดกับเขาให้แต่งงานภายในหกเดือน
มิฉะนั้นจะตัดเขาออกจากกองมรดก ทั้งที่เขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่าน ภูผาคิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหาผู้หญิงที่ไหนมาแต่งงานภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ ด้วยหน้าตาและคุณสมบัติของเขาใช่ว่าจะหาผู้หญิงมาแต่งงานกับเขาไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามทุกวันนี้มีมีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะเสนอตัวให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย
หรือแม้แต่จะพยายามจับเขาเพื่อหวังทรัพย์สมบัติที่เขามี แต่เขาไม่ต้องการผู้หญิงพวกนั้น และเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะผูกพันกับใครในตอนนี้ ภูผาจึงรู้สึกหนักใจเพราะเขายังไม่อยากแต่งงานกับใครเพียงเพราะเงื่อนไขของพ่อแม่