ตอนที่ 5 เป็นของผมเถอะ
“ห๊ะ! เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ”
“ผมบอกว่าขอจับนมหน่อย ก็นมพี่มันใหญ่อวบเต็มมือดี”
“นี่นายอยากตายจริง ๆ ใช่ไหม ไม่มีทางหรอก” พะพิมง้างมือกำหมัดทำท่าจะชกเข้าหน้านธี
“ถ้าหากไม่เห็นว่าตาเจ็บนะ นายโดนแน่”
“โห โหดแท้แค่ขอจับนมเอง นี่ตาเจ็บอยู่ขอไม่ได้หรือไง”
“ตรรกะบ้าบออะไรของนายนี่ฉันจะโมโหแล้วนะ ถ้าหากฉันปากเจ็บจะไม่ต้องขอจับกะจู๋ของนายเหรอ” พะพิมชักเลือดขึ้นหน้า
“ไม่ต้องปากเจ็บจับตอนนี้ก็ได้ครับผมยินดีให้บริการ” นธียังคงยั่วโมโหพะพิมไม่หยุด
“ถ้าหากนายยังไม่หยุดพูด นายโดนสากกระเบือแน่”
“ครับ…กลัวแล้วครับ”
“…”!
“แต่ขอกอดได้ไหม”นธีกระชากแขนของพะพิมเต็มแรงทำให้ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวกลับล้มทับหน้าอกเขา ๆ รีบใช้สองแขนโอบรัดร่างของเธอไว้
“จะทำอะไรปล่อยนะ” พะพิมพยายามดิ้นให้ออกจากอ้อมแขน
“ผมชอบพี่ เรามาเป็นแฟนกันนะ” นธีไม่สนใจคำด่าของพะพิมเขายังคงมองเธอด้วยสายตาหวานซึ้ง
“เป็นแฟนบ้านนายเหรอเจอกันไม่กี่ครั้งเอง”
“ถ้าหากไม่ตกลงผมก็ไม่ปล่อยนะ” สองแขนยิ่งรัดแน่นขึ้นจนพะพิมรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
“ปล่อย!”
“ฉันบอกให้ปล่อยหายใจไม่ออก” ดวงตาหวานจ้องเขม็งมองเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแต่เขาหาสะทกสะท้านไม่
“นายโดนแน่ถ้าหากฉันออกไปได้”
“เมื่อกี้กะว่าถ้าหากเงียบก็จะปล่อยไปแล้วนะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจดีกว่า” นธีโน้มใบหน้าของตัวเองกดตรงริมฝีปากบางของหญิงสาว ก่อนจะพยายามสอดเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็กดูดดื่มน้ำหวาน สองมือเล็กที่พยายามผลักร่างชายหนุ่มออก ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นปล่อยอิสระ นธีแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นร่างของพะพิมเริ่มอ่อนระทวย ซึ่งไร้การต่อต้านใด ๆ เธอหลับตาพริ้มเหมือนรอคอยนธีให้ช่วยเติมเต็มในส่วนลึกของความต้องการ
ชายหนุ่มเปลี่ยนจากนอนด้านล่างเป็นขึ้นครอมร่างคนพี่แล้วโน้มเข้าซอกไซ้คอขาว
“เลียนมได้ไหม”
“อืม”
นธีถกเสื้อเธอขึ้นพร้อมทั้งเอื้อมมือปลดตะข้อเสื้อชั้นใน แล้วใช้ลิ้นสากลากเลียบริเวณยอดถัน
“อยากเหรอ อยากมากไหม” เขาผละจากหน้าอกมองคนพี่กายสาวบิดเร่า ฝ่ามือหนาไล้ลงฝ่าเข้าตรงจุดกลางของหญิงสาว
“น้ำไหลเยิ้มเลย” นธีมองดูหญิงสาวเหมือนเป็นเชิงขออนุญาตเห็นคนพี่ไม่พูดอะไร ก่อนจะสอดนิ้วชี้นำร่องแล้วตามตามด้วยนิ้วกลาง เสียงนิ้วปะทะกับน้ำหล่อลื่น ยิ่งทำให้นธีอยากเป็นเจ้าของเรือนร่างใจจะขาด
“เป็นของผมนะ” ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ นั้นเขาเหมาร่วมว่าเธออนุญาต ชายหนุ่มอายุ 23 และหญิงสาวอายุ 35 พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธของความต้องการของร่างกายได้ นธีค่อย ๆ ทำอย่างทะนุถนอมจนทั้งสองฝ่ายเสร็จสม นธียังคงโอบกอดพะพิมไว้ในร่างเปลือยเปล่าก่อนจะโน้มคอนโดมศีรษะเธอฟอดใหญ่
“นายคงไม่คิดจังใช่ไหม”
“…”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบใด ๆ
“นั้นก็ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ” พะพิมลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำเพื่อสวมใส่แล้วออกมาทำกับข้าวต่อ
1 ชั่วโมงผ่านไป
สกายเรียนเสร็จกลับมาห้องพะพิมแล้วก็รู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นนธี
“วันนี้เขาต้องมาทำกับข้าวไม่ใช่เหรอครับ” สกายกวาดสายมองดูรอบ ๆ ห้อง
“ใช่ ๆ เขามาแล้วแต่โขลกพริกกระเด็นเข้าตา ก็เลยกลับห้องแล้วค่ะ…ลองทานฝีมือพี่ดู พอทานได้ไหม”สายตาของพะพิมพยายามหลบซ่อนบางอย่าง สกายมองมองดูจานผัดกระเพราะกับไข่เจียว ที่วางตรงหน้าแล้วลองตักเข้าปาก
“ทานได้นะครับ รสชาติดีเลย” ดวงตาเขามองเธออย่างอ่อนโยน มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“จริงเหรอคะ พี่คิดว่ากายกินไม่ได้เสียอีก” เธอตอบพลางอย่างโล่งอกแล้วยิ้มน้อย ๆ
“แต่พี่ไม่ต้องทำกับข้าวแล้วนะ เราจะสั่งกับข้าวผมไม่อยากให้พี่ต้องมาเสียเวลานั่งทำ” สกายลุกขึ้นเดินไปดูโต๊ะทำงานของเธอ ที่มีกระดาษแปะอยู่เต็มไปหมด
“พี่อยากเป็นนักเขียนเหรอ”
“ใช่ ๆ ความฝันตอนเด็กอ่ะ” พะพิมหลุบสายตาต่ำลง
“แต่เขียนมาหลายเรื่องแล้วยังไม่แมสเลย” เสียงพะพิมถอนหายใจเบา ๆ
“พี่อย่าเพิ่งท้อนะ เขียนไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ดังเชื่อดิ”
“อืม” พะพิมก้มหน้าทานข้าวต่อ
“แล้วสกายหล่ะ เรียนจบแล้วอยากเป็นอะไรเหรอ”
“ผมแค่มีชีวิต แต่ไม่สามารถจะมีความฝันได้เหมือนพี่หรอก ผมมีชีวิตแค่เพื่อทำตามความฝันของพ่อกับแม่อ่ะครับ”
“โห อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ครับ ผมอิจฉานธีนะ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจตัวเองปรารถนาไม่ต้องขึ้นต่อใคร
“เหรอ…อืม” พะพิมก็ไม่รู้ว่าระหว่างเธอที่มีชีวิตดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อตัวเองตั้งแต่เด็ก กับสกายที่ครอบครัวได้วางรากฐานทั้งหมดไว้ให้ มีเงินใช้อย่างล้นเหลือไม่ต้องมาคอยกังวลกับค่าเช่าที่จะมาถึงเหมือนเธอ อยากซื้ออะไรก็ซื้อเสื้อผ้ากระเป๋าล่วงเป็นของแบรนด์เนม มีรถหรูขับไปมหาลัยแต่ไม่สามารถทำหรือเป็นอย่างที่ใจต้องการได้ อันนั้นมีความสุขมากกว่ากัน
“นั้นเรามาดื่มให้แก่ชีวิตของเราเพื่อวันหนึ่งเราสามารถเป็นไปได้ตามที่ใจปรารถนา” พะพิมหยิบแก้วน้ำของสกายยื่นให้เขา แล้วยกแก้วน้ำของเธอชนกับแก้วของเขา
“ได้เลยครับพี่ ผมจะพยายามมีชีวิตเป็นของตัวเอง”