๔ อีกหนึ่งชีวิต (๑)
๔
อีกหนึ่งชีวิต
น่าแปลกที่หลายวันนี้ไม่มีเจ้าหนี้ตามทวงเงิน หน้าบ้านของหล่อนไร้ซึ่งคนมาคอยแอบแฝง เธอขลุกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เคยออกไปซื้อข้าวที่ตลาดคนก็เหลียวมองพลางหันไปซุบซิบ ข่าวมือที่สามของหล่อนดังกระฉ่อนไปทั่ว แม้คู่กรณีจะไม่ใช่ดารา แต่เพราะเธอคือบุคคลสาธารณะและเล่นละครหลายเรื่องจนประชาชนให้ความสนใจ
จึงกลายเป็นว่าหล่อนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างคนเดียว โดนโจมตีทั้งในชีวิตจริงและอินเตอร์เน็ตที่โซเชียลทุกช่องทางมีแต่คำว่าชู้เต็มไปหมด
หล่อนเลือกปิดโทรศัพท์ไม่รับข่าวสาร นอนนิ่งในห้องไม่คิดถึงการทำงาน เพราะทุกอย่างที่เคยตกลงกันไว้ถูกยกเลิกหมดแล้ว บางทีก็นึกอยากตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ทุกคนคงดีใจที่ไม่เห็นเธอ
แต่พอคิดว่าบิดาต้องอยู่คนเดียว เธอก็เลือกจะใช้ชีวิตต่อไป แม้จะเป็นการหายใจทิ้งก็ตาม...
“จอมไม่หิวเลยค่ะคุณพ่อ” ยังคงสุภาพเหมือนวันวาน เธอชินกับการเรียกท่านว่าคุณพ่อไปแล้ว
ถึงมื้อเที่ยงก็ถูกปลุกให้ลุกจากที่นอนมากินข้าว ถึงจะไม่หิวก็ต้องกินเพราะคนที่ทำอุตส่าห์ตั้งใจสุดความสามารถ หล่อนไม่มีความอยากอาหารสักนิด แต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อ
ไม่รู้ว่าเธียรมาหน้าบ้านของตนบ้างหรือเปล่า แต่หล่อนยังเลือกบล็อกเขาทุกช่องทาง ไม่อยากเจอหน้าชายหนุ่มอีก เจ็บจนพอแล้วกับคำว่าทรมานที่ชายหนุ่มมอบให้
พี่ชายใจดีที่ช่วยหมาไม่ให้โดนรถชน เจ้าของรอยยิ้มแสนสดใสคนนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว...หลงเหลือเพียงซาตานที่ต้องการเอาชีวิตของหล่อน
“กินสักหน่อยนะ ถือว่าพ่อขอก็ได้” ยังคงตะล่อมแล้วตักอาหารใส่จานให้ลูกสาว เธอจึงนำมันเข้าปากแล้วกินได้ไม่กี่คำก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง แต่ก่อนจะก้าวขึ้นไปก็มีข่าวบันเทิงรายงานความรักของบรรดาไฮโซเสียก่อน
‘ข่าวดีมาอีกแล้วค่ะทุกคน คุณเธียรที่เพียรปลูกต้นรักกับคุณด้ากำลังจะเข้าพิธีมงคลสมรสกันในเร็วๆ นี้ สองตระกูลใหญ่กำลังจะดองกัน เราก็ได้แต่เฮแสดงความยินดีสิคะ’ แล้วภาพก็ตัดไปที่ชายหญิงคู่หนึ่งควงกันออกงานสังคม ยิ้มแย้มให้กล้องอย่างมีความสุข
หัวใจของเธอตกไปอยู่ตาตุ่ม เกิดอาการคลื่นไส้จนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออาเจียนแทบหมดไส้หมดพุง บิดาตามมาลูบหลังด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง” อาการของบุตรสาวไม่สู้ดีนัก ใบหน้าก็ซีดจนต้องช่วยประคองร่างบางมาอ่างล้างหน้า บ้วนปากแล้วล้างหน้าล้างตาค่อยพาขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อพักผ่อน ช่วงนี้สัมผัสได้ว่าลูกอ่อนแอลงมาก อาจป่วยทางใจหรือเปล่า
ท่านคงต้องเร่งหาที่อยู่ใหม่ให้เร็วกว่านี้แล้ว ยิ่งห่างจากเมืองหลวงเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อตัวหล่อนเท่านั้น
“ดีขึ้นแล้วค่ะ จอมขอขึ้นไปนอนบนห้องก่อนนะ” ลากเท้าอ่อนแรงขึ้นบนห้อง ใช้มือจับราวบันไดจนถึงชั้นบน เข้าห้องตัวเองได้ก็ปล่อยโฮทันทีกับข่าวที่ทราบทางโทรทัศน์ ไม่คิดว่างานแต่งของเขาจะเร็วขนาดนี้
แม้จะตัดขาดจากชายหนุ่มและเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของเราในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมากลับรั้งเธอเอาไว้ ทั้งที่ควรเกลียดเขา โกรธเขามากกว่านี้ ทว่าหัวใจเจ้ากรรมก็ยังคงรักไม่เสื่อมคลาย
เธอเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำหรือไง แต่ละอย่างที่ชายหนุ่มทำเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่จะให้อภัยง่ายเลยสักนิด และเธอก็จะไม่ยอมอภัยให้เขาด้วย...
แต่ถึงจะโกรธไปแล้วได้ประโยชน์อะไร เธียรไม่มีทางสนใจเธออยู่แล้ว
“จอม...” นอนหลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ดวงตากลมหรี่มองอยากรู้ว่าใครเข้ามา คิดว่าเป็นบิดาแต่เสียงคล้ายผู้หญิง จนต้องเปิดเปลือกตาแล้วยันกายลุกนั่ง อยากรู้ว่าคนที่เข้ามาใหม่เป็นใคร แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความดีใจสุดขีด แทบจะมีแรงลุกไปกอดด้วยซ้ำถ้าอีกฝ่ายไม่โถมกายเข้าหาเธอก่อน
“ดุจ! เธอมาแล้ว มาจริงๆ ด้วย ดุจ! ฮือ” ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น หลายวันมานี้พยายามเข้มแข็งแต่ก็รู้ดีว่าตนอ่อนแอมากแค่ไหน จนวันที่ได้เจอเพื่อจึงปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง บ่าที่เคยแบกของหนักก็วางลงแล้วกอดดุจดาไว้แน่น
ทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย เธอคือลูกคุณหนูแสนเพอร์เฟคแต่ไม่นานก็ต้องตกจากบัลลังก์ เพื่อหลายคนหันหน้าหนีไม่เข้ามาเล่นด้วย มีเพียงดุจดาวที่อยู่ข้างกายไม่หายไปไหน เธอจึงนับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว
“โอ๋ๆ เจ้าหญิงแสนสวยของฉันเป็นเด็กขี้แยไปแล้ว พ่อเธอบอกว่าเธอไม่สบายเหรอ ไปหาหมอไหมเดี๋ยวฉันพาไป” ลูบศีรษะมนแล้วปลอบคนร้องไห้ ใบหน้าหวานที่เคยสดใสกลับซีดเซียว ร่างกายผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
เธอจะทราบข่าวมือที่สามเพราะทุกโซเชียลตีประเด็นนี้ไม่หยุด เพื่อนในกลุ่มก็เอามาคุยกันสนุกสนานจนน่าหงุดหงิด รู้ทันทีว่าจอมชีวันต้องเจอเรื่องหนักแน่นอน
“ไม่เอา...อยากนอน” รีบส่ายหน้าไม่อยากออกไปข้างนอก
เจอผู้คนก็โดนเอาไปนินทาเสียหายอีก เธอนอนอยู่บ้านไม่ต้องพบเจอใครเลยน่าจะดีกว่า รีบเช็ดน้ำตาแล้วผละออกจากเพื่อน ล้มตัวลงนอนโดยยกผ้าห่มมาคลุมกาย ดุจดาวเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมตามใจโดยดี
“งั้นก็นอน เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อน”
นอนลงข้างกันโดยไม่มีใครพูดอะไร เธอรู้ว่าดุจดาวเพิ่งลงจากเครื่องแล้วคงตรงมาที่นี่โดยไม่แวะกลับบ้าน นึกเกรงใจเหมือนกันแต่ตอนนี้หล่อนต้องการคนที่เคียงข้างสามารถปรับทุกข์ได้ และดูเหมือนคนข้างกายจะทำหน้าที่นั้นได้ดีพอสมควร
“ดุจ...ฉันน่ารังเกียจมากเลยเหรอ ฉันไม่สมควรเป็นที่รักของใครใช่ไหม” ตัดพ้อเสียงอ่อน ไม่มีใครรักเธอเลยสักคน
โดยเฉพาะเขาที่แสดงออกถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน ทั้งคำพูดที่ผ่านมา สีหน้าแววตาและการกระทำ เธียรไม่เคยรักหล่อนและยังรังเกียจในตัวของเธออีก