บทที่ 6 ปัจจุบัน 1.2
หลังจากที่พิชชาพรเดินทางกลับมาจากไร่พายุภัทร ลูกเลี้ยงของนางเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ร้องไห้เป็นพักๆ ในสัปดาห์แรกจนกระทั่งสภาพจิตใจ ของพิชชาพรเริ่มดีขึ้น และมากพอที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เธอจึงยอม ออกมาจากห้อง บัวตูมมีปากเสียงกับกานดาเรื่องเงิน เพราะจับได้ว่าบัวตูมแอบขโมยเงินของนางอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา จนกระทั่งวันหนึ่งกานดาเดินมาเห็นบัวตูมกำลังหยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋าของนางพอดี จึงไล่บัวตูมออกจากบ้านทันที
บัวตูมได้สมัครเข้าทำงานกับบ้านของเอกวัฒน์ เพื่อนบ้านของนางนั่นเอง แถมยังเอาเรื่องในบ้านของกานดาไปเล่าให้กับทางเจ้านายใหม่ฟัง อรกมลซึ่งเป็นลูกสาวของเอกวัฒน์รู้เรื่องที่เกิดขึ้น จึงมาเยาะเย้ยถากถางพิชชาพรถึงที่บ้าน เพราะเธออิจฉาที่พิชชาพรเป็นที่ชื่นชอบของคนละแวกนั้น และยังให้บัวตูมไปป่าวประกาศเรื่องที่พิชชาพรเอาตัวเข้าแลก เพื่อรักษาบ้านหลังนี้ไว้ด้วย
ความชื่นชอบของเพื่อนบ้านที่มีต่อบ้านของกานดาเปลี่ยนไป เสียงซุบซิบ นินทาตามมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้พิชชาพรอับอายและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงหมกตัวอยู่แต่ในห้องอีกครั้ง แต่มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ไม่เคยพูดจาดูถูกเหยียดหยามหรือรังเกียจบ้านของกานดาเลย มีแต่คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ คือบ้านของกวีนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล ที่มีจิตใจดีทั้งบิดาและมารดา
และเหตุการณ์ที่ทำให้พิชชาพรต้องเสียใจและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไม่กินไม่นอนเอาแต่นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจคือ พิพัฒน์บิดาและกิจจาน้องชาย เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปส่งน้องชายที่หอพักที่อยู่ในมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง ที่กิจจาสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สำเร็จ
พิชชาพรโศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก ดีที่ว่ากวีนักศึกษาแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และใช้วิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมา คอยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของพิชชาพรจนดีขึ้น และกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง หญิงสาวและกานดาจึงตัดสินใจขายบ้านที่บิดารัก เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในกรุงเทพ จำนวนเงินที่ได้มาจากการขายบ้าน เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่พายุให้มา รวมแล้วประมาณสามล้านห้าแสนบาท
หากแต่โชคร้ายยังไม่หมดไปเนื่องจากคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างพิชชาพรและกานดา ถูกเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรกำมะลอ หลอกเงินค่าซื้อขายบ้านไปกว่าสองล้านบาท เสียทั้งเงินแถมไม่ได้บ้านตามที่ต้องการ กวีจึงเดินทางมาหาทั้งสองที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ชายหนุ่มพาพิชชาพรและกานดาไปเช่าบ้านหลังเล็กอยู่ ระหว่างที่รอหาซื้อบ้านหลังใหม่ แต่จำนวนเงินที่มีไม่มาก ทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะหาบ้านในกรุงเทพฯ ชั้นใน ต้องกลายเป็นแถบชานเมืองแทน และในที่สุดพิชชาพรตกลงใจซื้อบ้านหลังนี้ แม้จะอยู่ไกลหากแต่ร่มรื่นตามที่เธอและกานดาต้องการ โดยมีแขกประจำที่ชื่อกวีมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง
เช้าวันใหม่พิชชาพรเตรียมตัวเดินทางไปทำงานตามปกติ หากแต่วันนี้เธอมีผู้มาเยือนคนใหม่ที่ไม่ใช่กวี หากแต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ยืนพิงตัวรถด้วยความสบายใจ เป็นผู้ชายที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นคลอน
“คุณภู” หญิงสาวพูดเหมือนคนละเมอ ไม่คาดคิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้
“ผมมารับทราย...พอดีเป็นทางผ่าน” ภูริภัทรโกหกคำโต เพราะระยะทางจากบ้านเขาถึงบ้านของหญิงสาวห่างไกลกันมาก หากแต่ความจริงจังที่มีต่อหญิงสาว ทำให้เขาขับรถมารับเธอที่บ้านตามความตั้งใจที่แน่วแน่ตั้งแต่เมื่อคืน
“บ้านคุณภูอยู่แถวนี้หรือคะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ใช่!!...รีบไปเถอะเดี๋ยวสายนะ” ชายหนุ่มเปิดประตูรถยนต์ทางด้านข้างคนขับ เพื่อไม่ให้เธอปฏิเสธความตั้งใจของเขา
“ไปเถอะลูก...เจ้านายทรายอุตส่าห์มารับ ถ้าไม่ไปน่าเกลียดแย่” กานดาที่เดินออกมาส่งหญิงสาวดั่งเช่นทุกวันกระซิบบอกที่ข้างหูของพิชชาพร ร่างบางจึงเดินไปขึ้นรถยนต์อย่างขัดไม่ได้ ภูริภัทรพนมมือไหว้กานดาเป็นการทักทายและเอ่ยลาตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวไทย ซึ่งเขาเองไม่รู้ว่านางเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับพิชชาพร แต่ดูท่าทางที่พิชชาพรเคารพและเชื่อฟังคำพูดของกานดา ทำให้เขารู้ว่าสตรีวัยกลางคนที่เขาพนมมือไหว้ ต้องเป็นบุคคลสำคัญของหญิงสาวแน่นอน
“ผู้หญิงคนที่ออกมาส่งทรายเป็นใครเหรอ” ภูริภัทรถามเมื่อเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้ว
“น้าดาค่ะ เป็นแม่เลี้ยงของทรายเอง”
“เมื่อกี้ก็ลืมไปสวัสดีคุณพ่อของทราย จะเสียมารยาทหรือเปล่าก็ไม่รู้” คำพูดที่เป็นเชิงถามความคิดเห็น ทำให้ดวงตาหวานใสคลอด้วยหยาดน้ำตาเมื่อนึกถึงบิดา ภูริภัทรหันมาเห็นใบหน้าของพิชชาพรที่หยาดน้ำตาเกลือกกลิ้งอยู่ที่ ใบหน้าพอดี เขาจึงจอดรถริมข้างทาง และหันลำตัวมาหาเธอ
“เป็นอะไรทราย...เป็นอะไร...บอกผมสิ” ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมาซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังไปทั่วรถ
“ทรายไม่มีพ่อค่ะ...พ่อทรายตายพร้อมน้องชายไปเมื่อสี่ปีก่อน” หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา พิชชาพรเหมือนคนมีแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ดดี พอมีใครมาสะกิดบาดแผลนั้นก็จะเปิดกว้าง สร้างความเจ็บปวดให้กับเธออย่างไม่มีจบสิ้น ชายหนุ่มรู้สึกผิดที่ทำให้หญิงสาวต้องทุกข์ใจ และเป็นสาเหตุให้เธอต้องร้องไห้ มือหนาปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดอยู่ที่ลำตัวของเขาและเธอออก ก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด กระชับร่างบางให้แน่นยิ่งขึ้น เหมือนต้องการให้เธอถ่ายทอดความทุกข์ที่มีทั้งหมดมาที่ร่างกายของเขาบ้างให้เขาแบ่งปันความโศกเศร้าที่ฝังแน่นในจิตใจ มือแกร่งลูบไปที่แผ่นหลังบางแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน
ความอบอุ่นที่พิชชาพรได้รับจากชายคนนี้ ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับชายคนไหน เริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำไมหนอ...อ้อมกอดของภูริภัทรแสนจะอบอุ่นและปลอดภัย เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างเหมือนที่ผ่านมา อ้อมกอดนี้ในความรู้สึกของพิชชาพรช่างคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับสิ่งที่ขาดหายไปนานแสนนานได้หวนกลับมาหาเธออีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ต้องร้องนะคนดี...ผมขอโทษ” ภูริภัทรพูดพร้อมกับซบหน้านิ่งที่เรือนผมนุ่มสลวย ก่อนจะจรดปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนผมแผ่วเบา ภูริภัทรให้เธอร้องไห้อยู่ที่แผงอกของเขาอย่างไม่รังเกียจ จากนาทีเป็นสิบนาที จากสิบนาทีเป็นยี่สิบนาที ก่อนที่เสียงสะอื้นจะสงบลงในนาทีที่สามสิบ หญิงสาวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ซึมซับความอบอุ่นที่เธอรู้สึกโหยหา
“ผมขอโทษที่ทำให้ทรายต้องร้องไห้” เขาพูดกระซิบอยู่ที่ข้างหูหอมกรุ่น หญิงสาวรับรู้ถึงแรงลมหายใจที่ค่อนข้างแรงของภูริภัทร ทำให้เธอรู้สึกตัวว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือบางจึงผลักแผงอกหนาอย่างเบามือ ก่อนที่ดวงตาของทั้งคู่จะสบกันนิ่ง และพิชชาพรเป็นฝ่ายหลบสายตาที่ร้อนแรงดั่งไฟนั้นเสียเอง
“ทรายขอโทษค่ะ เสื้อคุณภูเปียกหมดแล้ว” พิชชาพรก้มหน้าพูด ไม่กล้ามองสบตาเขาเพราะเธอรู้สึกเขินอายกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ผมต่างหากที่ผิด ไม่ใช่ทราย...ผมสัญญา ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้ทรายร้องไห้อีก” ภูริภัทรพูดเสียงเบาแต่ทว่าหนักแน่น จนคนฟังรู้สึกตื้นตันใจ อิ่มเอิบใจ เธอกำลังต่อสู้กับหัวใจของตัวเองอย่างหนัก ใจหนึ่งอยากจะละทิ้งอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนที่เธอรักและรักเธอ แต่อีกใจหนึ่งร้องค้านเพราะกลัวว่าหากเขาล่วงรู้ความจริงขึ้นมา ความรักที่เขามีให้ทลายลงกลายเป็นความเกลียดชัง ซึ่ง พิชชาพรไม่สามารถทานทนกับความเสียใจได้อีกแล้ว
“ขอบคุณมากค่ะที่คุณภูดีกับทราย...เรารีบไปกันเถอะค่ะเดี๋ยวจะไปทำงาน สาย คุณภูเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของทรายมานานมากแล้ว”
“เรื่องของทรายไม่ใช่เรื่องไร้สาระของผม...และผมไม่เคยคิดว่าการที่ผมปลอบประโลมทรายให้หายเศร้าจะทำให้ผมเสียเวลา...ทรายดูถูกน้ำใจของผมมากเกินไปแล้ว” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะขับรถยนต์ของเขาออกจากริมถนนเพื่อเดินทางไปยังบริษัทของเขา โดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย พอมาถึงบริษัทภูริภัทรนำรถยนต์มาจอดที่จอดรถประจำของเขา ที่เตรียมไว้สำหรับประธานบริษัทเท่านั้น และเดินลงไปจากรถทันทีโดยไม่รอและสนใจหญิงสาวที่นั่งมาด้วย แถมท้ายด้วยเสียงปิดประตูรถยนต์ปังใหญ่ จนร่างบางสะดุ้งด้วยความตกใจ
พิชชาพรรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องโกรธและไม่พอใจในคำพูดของเธอ เป็น การดีไม่ใช่หรือเพราะต่อไปนี้ภูริภัทรคงไม่มาข้องแวะกับเธออีกแล้ว แต่ทำไมหัวใจของเธอเจ็บจี๊ดเหมือนมีใครเอามีดแหลมคมมากรีด เมื่อนึกถึงข้อนี้ พิชชาพรจะมีความสุขจริงหรือที่ภูริภัทรไม่สนใจเธอ เหมือนกับที่หญิงสาวต้องการ หรือว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดประตูหัวใจ หลังจากที่ปิดตายมานาน ยอมรับภูริภัทรเข้ามาในหัวใจและพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่จะตามมาอย่างกล้าหาญ โดยมีความรักที่กำลังเบ่งบานเป็นเกราะคุ้มกัน