บทที่ 5 ปัจจุบัน 1.1
“คุณจะก้มหน้าทำไม...หน้าผมเหมือนยักษ์เหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียง สบายๆ รู้สึกสดชื่นเมื่อได้อยู่ใกล้เธอ ต่างกับพิชชาพรยามที่อยู่ใกล้เขา ร่างกายของเธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ วาบหวามในหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และยิ่งร้อนเหมือนไฟลามเลียในร่างกาย เมื่อหญิงสาวเงยหน้ามองสบตาของเขาที่มองมาที่เธอ มันเป็นแววตาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างชัดเจน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” พิชชาพรพยายามปลีกตัวออกจากห้องนี้ เพื่อจะหลีกหนีสายตาของเขา และที่สำคัญใจของตัวเธอเองด้วย
“คุณออกไปได้แล้ว...ผมว่าเรียกคุณมันดูไม่สนิทสนมกันเท่าไหร่นะ...คุณมีชื่อเล่นหรือเปล่า” ภูริภัทรเริ่มรุกสาวน้อยตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
“ทรายค่ะ...ดิฉันชื่อเล่นชื่อทรายค่ะ”
“ผมมีคำสั่งอีกข้อที่คุณจะต้องปฏิบัติตาม ต่อไปนี้คุณต้องเรียกผมว่าคุณภู ส่วนผมจะเรียกว่าคุณว่าทราย และต่อไปนี้ห้ามคุณเรียกแทนตัวเองว่าดิฉัน ให้เรียกแทนตัวเองว่าทราย เริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป...เข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่าทราย” ภูริภัทรออกคำสั่งอีกครั้ง
“ทรายเข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวรับคำด้วยความจำยอม เพราะหากเธอไม่ ปฏิบัติตามเธออาจจะตกงานก็เป็นได้ พิชชาพรเดินออกไปจากห้องท่านประธานทันทีที่พูดจบ กำแพงหนาที่เคยสั่นคลอนเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อความทรงจำในอดีตที่หัวใจของเธอเจ็บทุกครั้งที่นึกถึง ผู้หญิงที่เอาตัวเข้าแลกเพื่อแลกกับเงินและหนี้สินของบิดา ไม่สมควรที่จะเป็นภรรยาของใคร พิชชาพรตั้งใจว่าเธอจะอยู่เป็นโสดและตายไปพร้อมกับความทรงจำของเธอ ที่ยังฝังลึกกับผู้ชายที่ชื่อ พายุ
ตกเย็นมาลัยเดินทางกลับบ้านเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ชั้น 35 ที่เป็นชั้นทำงานของท่านประธานเหลือเพียงเจ้านายหนุ่มกับผู้ช่วยเลขาฯ สาวสวยเท่านั้น
“ไปกันได้แล้วทราย...เดี๋ยวรถติด เราต้องไปก่อนที่ลูกค้าจะมา” ภูริภัทรเอ่ยบอกเมื่อเดินออกมาจากห้องทำงานแล้ว พิชชาพรที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของมาลัย ลุกเดินตามเจ้านายหนุ่มไปที่ลิฟต์ เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากที่ทำงานของชายหนุ่มมากนัก
หลังจากรับประทานอาหารกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เวลาล่วงเลยมากว่าสี่ทุ่ม ซึ่งถือว่าดึกมากสำหรับหญิงสาว เพราะเธอไม่เคยกลับบ้านเกินกว่าสองทุ่มเลย
“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านนะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” ภูริภัทรบอกเมื่อเดินออกมาจากห้องอาหาร
“ไม่เป็นอะไรค่ะ...ทรายกลับเองได้ค่ะ” พิชชาพรปฏิเสธน้ำใจที่ชายหนุ่มยื่นมาให้ เพราะเธอรู้ว่ามีจุดมุ่งหมายอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ ซึ่งเธอจะไม่ยอมให้จุดมุ่งหมายนั้นเกินเลยมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง
“ไม่ได้หรอก...ผมปล่อยให้ทรายกลับบ้านเองไม่ได้ ถ้าวันนี้ผมไม่ได้ไปส่งทรายที่บ้าน รับรองผมนอนไม่หลับแน่เลย ให้ผมไปส่งเถอะเพื่อความสบายใจของผม และความปลอดภัยของทรายด้วย...นั่งรถแท็กซี่ดึกๆ มันอันตราย” ภูริภัทรให้เหตุผลร้อยแปดกับหญิงสาว
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ ทรายกลับบ้านเองได้ค่ะ บ้านที่ทรายพักอยู่มีรถเมล์ผ่านทั้งคืน ทรายนั่งรถเมล์ไปก็ได้ค่ะ คุณภูไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณภูรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ” พิชชาพรปฏิเสธเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มบางๆ ส่งให้ภูริภัทร รอยยิ้มนั้นเองที่ทำให้หัวใจของชายหนุ่มสั่นคลอนอีกครั้ง และไม่ยอมแพ้ที่จะไปส่งเธอที่บ้าน
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้...ผมจะไปส่งทรายเอง ถ้าไม่ให้ผมไปส่งก็ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคู่นั่นแหละ ไม่ต้องไปไหน ยืนมันยันสว่างเลย” พิชชาพรทำหน้ายุ่ง เมื่อได้ยินคำพูดที่ส่งผ่านมาด้วยความหนักแน่น ทำให้เธอต้องจำยอมรับไมตรีที่เขาหยิบยื่นให้ด้วยความไม่เต็มใจนัก
“ก็ได้ค่ะ...ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวนะคะ” ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเธอยินยอมให้เขาไปส่ง
“ครั้งเดียวก็เกินพอครับ” มีหรือที่เขาจะไปส่งหญิงสาวที่เขาหมายปองแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว สำหรับเขามันคือทุกๆ วันที่เธอมาทำงาน ทุกๆ ครั้งที่เธอไปไหนมาไหนกับเขาต่างหาก
ชายหนุ่มขับรถมาตามเส้นทางที่เธอบอก ผ่านกรุงเทพฯ ชั้นใน ผู้คนที่หนาแน่น เริ่มจางลงเมื่อรถเคลื่อนตัวสู่ชานเมือง แต่ยังมีรถยนต์วิ่งผ่านและมีรถประจำทางวิ่งตามเส้นทางอยู่บ้าง จนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปในหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีป้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนึ่งคนนั่งอยู่ จากนั้นรถคันหรูแล่นมาจอดที่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง ที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน
“ทำไมบ้านทรายอยู่ลึกจังเลย ไกลด้วย ดีนะที่ผมมาส่งไม่งั้นผมต้องเป็นห่วงทรายแน่เลย”
“ทรายมีเงินซื้อบ้านได้แค่นี้แหละค่ะ...บ้านที่อยู่หน้าหมู่บ้านราคาแพง หลังนี้ถูกสุดแล้วค่ะ” พิชชาพรพูดเสียงเนือย ตอนนั้นที่เธอตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ หลังจากที่ผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ บางอย่างที่เธอไม่อยากนึกคิด เงินจำนวนที่เธอมีอยู่ในมือสามารถซื้อบ้านหลังนี้ได้เท่านั้น อาจเป็นเพราะอยู่ไกลถึงชานเมืองและอยู่ท้ายหมู่บ้านด้วย ทำให้ราคาของบ้านหลังนี้ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท กานดาที่นั่งคอยลูกเลี้ยงอยู่ที่โต๊ะหินหน้าบ้าน และเดินมาที่ประตูเมื่อเห็นรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน
“ทรายขอบคุณคุณภูมากนะคะที่มาส่งทราย...ทรายขอตัวก่อนนะคะ” พิชชาพรพนมมือไหว้ภูริภัทรเป็นการขอบคุณที่มาส่งเธอที่บ้าน
“ไม่เป็นอะไร ผมเต็มใจ มากกว่านี้ผมก็ทำให้ทรายได้” ชายหนุ่มพูดอย่างมี ความหมาย หญิงสาวทำได้เพียงส่งยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่มเท่านั้น ก่อนจะเปิดประตูรถยนต์และก้าวลงจากรถยนต์คันหรูทันที ส่วนภูมิภัทรเมื่อพูดคุยกับหญิงสาวสักพักก็ขอตัวกลับ
“ใครมาส่งลูก” กานดาถามเมื่อพิชชาพรเดินเข้ามาภายในบ้าน
“เจ้านายค่ะน้าดา”
“น้าไม่เคยเห็นใครมาส่งทรายเลยนะ...คนนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” ที่กานดาถามเพราะอยากให้ลูกเลี้ยงของนางมีความสุขเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ที่ทิ้งอดีตที่เจ็บปวดแล้วยอมเปิดรับสิ่งดีๆ และสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตบ้าง เพื่อให้หัวใจชุ่มช่ำและเบิกบาน ขจัดความทุกข์และความโศกเศร้าที่อยู่ในใจให้หมดไป
“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกค่ะน้าดา...ผู้หญิงที่สกปรกอย่างทรายไม่คู่ควรกับใครทั้งนั้นค่ะ ทรายจะอยู่กับน้าดาไปตลอดชีวิตเลยค่ะ” คำพูดนี้กานดาได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดสี่ปี
“ทำไมทรายไม่ลองเปิดใจดูล่ะลูก...เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว”
“ทรายลืมไม่ได้หรอกค่ะ...ทรายกลัวว่าหากทรายเปิดใจรับใครสักคน แล้วคนคนนั้นมารู้ตอนหลังว่าทรายเคย...เคยขายตัวมาก่อน ทรายกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้และจากทรายไป ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทรายคงทนไม่ได้ สู้ทรายปิดกั้นตัวเอง จมอยู่กับอดีตที่เจ็บปวดดีกว่าค่ะ...น้าดา” พิชชาพรพูดทั้งน้ำตา กานดาแม่เลี้ยงวัยสี่สิบสี่ปีกอดร่างของเธอไว้แนบแน่น ปลอบประโลมพิชชาพรเหมือนทุกครั้งที่ความทุกข์ถาโถมใส่หัวใจที่บอบบางของเธอคนนี้ เพราะพิชชาพรไม่เหลือใครที่พอจะพึ่งพิงได้ มีนางเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น กานดานึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเมื่อสี่ปีก่อน