บทย่อ
ความรักที่เขามีให้เธอหมดหัวใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ชิงชัง และรังเกียจ เมื่อรู้ความจริงอันเจ็บปวดว่า ผู้หญิงอันเป็นที่รักเคยขายตัวเป็นโสเภณีมาก่อน ความเจ็บปวดที่เขาได้รับมากเป็นเท่าทวีคูณเมื่อเธอทรยศหักหลัง เขาจึงทำทุกอย่างให้เธอรู้จักกับคำว่า...นางบำเรอ!
บทที่ 1 อดีต 1
“พ่อพูดว่าอะไรนะคะ”
พิชชาพรพูดด้วยน้ำเสียงแห้งโรย คำพูดของบิดาทำให้ร่างของเธอนิ่งงันกับสิ่งที่หญิงสาวได้ยิน พิพัฒน์บิดาบังเกิดเกล้ามองใบหน้าของลูกสาวคนโตที่มีหยาดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ไหลรินเคลียแก้มนวล ด้วยความรู้สึกอดสู ละอายใจ เสียใจ และความรู้สึกอีกมากมายที่ประดังเข้ามา
“ทรายไม่ต้องทำตามที่พอบอกก็ได้นะลูก...ถ้าหากทรายไม่เต็มใจ...พ่อไม่บังคับ...พ่อยอมหมดตัวไม่มีที่ซุกหัวนอน ดีกว่าที่ต้องทนเห็นลูกต้องตายทั้งเป็น”
กานดาภรรยาของพิพัฒน์และเป็นแม่เลี้ยงของพิชชาพร เดินเข้ามากุมมืออวบอูมของสามีเพื่อเป็นกำลังใจ เมื่อเห็นใบหน้าของสามีมีหยาดน้ำตารินไหลลงมาเช่นกัน
“ทรายยอมค่ะ...บอกคุณท่านว่าทรายตกลงตามข้อเสนอที่คุณท่านบอกมาค่ะ”
คำตอบของลูกสาวทำให้พิพัฒน์ร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว นี่เขาต้องขายลูกกินหรือนี่ ในชีวิตของพิพัฒน์ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ หากวันนั้นเขาเชื่อคำพูดของกานดาสักนิดเรื่องทั้งหมดคงไม่เกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน วันนั้นเพื่อนสนิทสมัยเรียนได้เดินทางมาหาเขา หลังจากที่ไม่ได้พบปะหรือว่าติดต่อกันนานนับสิบปี หากแต่การมาเยือนของเพื่อนไม่ใช่มาเพราะความคิดถึง หากแต่มาร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
“พัฒน์นายต้องช่วยฉันนะ...ฉันไม่มีใครแล้ว...ฉันสัญญาจะส่งทั้งต้น ทั้งดอกทุกเดือนเลย...นะ...พัฒน์ช่วยฉันหน่อยนะ”
อมรเทพพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
คนใจอ่อนและรักเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงตอบตกลงเป็นบุคคลค้ำประกันเงินกู้ให้อมรเทพ โดยนำบ้านหลังนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพราะจำนวนเงินกู้ที่อมรเทพต้องการสูงถึงหลักล้าน อมรเทพให้เหตุผลว่าต้องการนำเงินก้อนนี้ไปพยุงบริษัทที่กำลังเข้าขั้นวิกฤต กานดาพยายามห้ามปราม นางให้เหตุผลหลายอย่าง หากแต่พิพัฒน์ยังยืนกรานที่จะช่วยเพราะคำว่าเพื่อนคำเดียว
อมรเทพส่งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยได้เพียงหกเดือนเท่านั้น จากนั้นก็หายเงียบไปไม่ติดต่อกับเสี่ยหมู ซึ่งเป็นเจ้าของเงินกู้และผู้มีอิทธิพลของจังหวัดนี้ ทำให้เสี่ยหมูเดินทางมาหาเขาที่บ้านเองเพื่อบอกข่าวร้ายกับเขาว่า อมรเทพไม่ส่งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยให้กับเสี่ยหมูนานนับหกเดือนแล้ว จึงจำเป็นต้องมายึดบ้านและที่ดินของพิพัฒน์ตามข้อตกลงที่ระบุในสัญญา พิพัฒน์แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักหักหลังเขาอย่างเจ็บแสบ หากแต่กานดาคู่ชีวิตคนที่สองหลังจากนภามารดาของพิชชาพรจากไป ไม่ว่าอะไรเขาสักคำ สิ่งที่กานดามีให้เขาเสมอมาคือกำลังใจ
พิพัฒน์หมดสิ้นหนทาง เพราะเสี่ยหมูยื่นคำขาดให้หาเงินจำนวนสองล้านสี่แสนบาทมาให้เขาภายในหนึ่งสัปดาห์ เงินจำนวนมากมายขนาดนี้พิพัฒน์อับจนหนทางที่จะหามาได้ เพราะทุกวันนี้เขามีรายได้จากการเก็บค่าเช่าบ้านที่มีเพียงสิบห้องเท่านั้น และเงินจากที่พิชชาพรทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน ซึ่งจำนวนเงินอาจจะไม่มากแต่ไม่เดือดร้อนจนต้องกู้หนี้ยืมสินใคร กานดาจึงเสนอให้ไปหาแม่เลี้ยงกิ่งแก้วซึ่งเป็นนายจ้างเก่าของนาง ซึ่งขณะนี้อยู่ที่เชียงราย ทั้งสองจึงเดินทางไปหากิ่งแก้วด้วยความหวัง ว่าจะมีแสงสว่างแสงเล็กๆ ส่องนำทางให้คลายความมืดมิด แม่เลี้ยงกิ่งแก้วยอมช่วยเหลือทั้งสองพร้อมกับข้อเสนอบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองถึงกับน้ำตาร่วง
“อย่าหาว่าฉันดูถูกหรือเหยียดหยามศักดิ์ศรีของพิพัฒน์เลยนะ ฉันต้องการให้หนูทรายมาอุ้มท้องเหลนของฉันด้วยใจจริง พายุอายุร่วมสามสิบปีแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมีครอบครัวเหมือนกับชายคนอื่น หรือเพื่อนร่วมรุ่นของเขา ฉันเองก็อยากอุ้มเหลนเต็มแก่ ถือว่าเราทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ซึ่งกันและกันนะ ฉันรับรองว่าหนูทรายจะอยู่อย่างสุขสบายที่นี่ และถ้าเกิดโชคดีมีเหลนให้ฉันสมใจ ฉันจะตอบแทนหนูทรายอย่างงาม และให้เลี้ยงลูกที่กำลังจะเกิดมาด้วยมือของหนูทรายเอง...ฉันไม่เร่งรัดนะ นำเรื่องนี้ไปบอกหนูทรายก่อนก็ได้ หากหนูทรายตกลง ฉันยินดีที่จะช่วยทุกอย่างที่ร้องขอ”
ทั้งสองจึงแบกรับข้อเสนอที่หนักอึ้งนี้กลับไปด้วย ระยะเวลาอีกไม่กี่วันจึงจะถึงกำหนดวันนัดของเสี่ยหมู ทำให้พิพัฒน์ที่ตัดสินใจอยู่นานว่าจะพูดกับลูกสาวคนโตดีหรือไม่ ตัดสินใจทันทีที่เดินทางมาถึงบ้าน ในใจของคนเป็นพ่อจะไม่ยอมบังคับลูกเด็ดขาดหากพิชชาพรไม่เต็มใจ
“ทรายยอมค่ะพ่อ เพื่อพ่อ เพื่อทุกคนที่นี่ บ้านหลังนี้เป็นหยาดเหงื่อของพ่อที่สร้างมันมาจากน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดที่พ่อมีอยู่ ทรายเป็นลูกก็ต้องรักษาบ้านหลังนี้ไว้...ทรายรู้ว่าพ่อรักบ้านหลังนี้มากแค่ไหน ทรายเองก็รักและผูกพันกับบ้านหลังนี้ไม่ต่างกับพ่อ เพื่อพ่อทรายทำได้ทุกอย่างค่ะ”
พิพัฒน์โอบกอดร่างของลูกสาวไว้แน่น น้ำตาของผู้เป็นพ่อไหลรินลงมาสัมผัสกับบ่าของเธอ ทำให้พิชชาพรร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นเช่นกัน ผู้เป็นพ่อคลายอ้อมกอดเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของลูกสาวไม่วางตา
“ถึงพ่อจะรักบ้านหลังนี้มากแค่ไหน...แต่พ่อก็รักลูกมากกว่า พ่อยอมเสีย บ้านหลังนี้หากลูกต้องไปตกนรกทั้งเป็น”
“ไม่เป็นอะไรค่ะพ่อ...ไม่เป็นไร”
พิชชาพรเอ่ยปลอบใจทั้งบิดาและตัวเอง พิชชาพรคลี่ยิ้มละไมให้กับพิพัฒน์ เสมือนบ่งบอกให้บิดารู้ว่าสิ่งที่เธอคิดเป็นสิ่งที่เธอเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
รถตู้คันหรูเคลื่อนตัวออกจากบ้านของพิพัฒน์โดยมีร่างของพิชชาพรนั่งอยู่ในรถคันนั้น ซึ่งเป็นรถของแม่เลี้ยงกิ่งแก้วที่จะมารับหญิงสาวไปเชียงราย หลังจากจัดการหนี้สินของพิพัฒน์เสร็จเรียบร้อย สายตาของพิพัฒน์และกานดา กิจจา สมาชิกในครอบครัวของหญิงสาว รวมทั้งบัวตูมสาวใช้ที่ทำงานบ้านแลกกับค่าแรงเพียงหนึ่งพันห้าร้อยบาท กับที่พักและอาหาร มีนิสัยปากสว่าง เดินออกมาส่งหน้าบ้านและมองรถตู้คันนั้นไปจนสุดสายตา
ดวงตาคู่สวยที่มีหยาดน้ำตารินไปตลอดการเดินทาง ทอดมองภาพทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกกระจกด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเหมือนไร้ซึ่งหัวใจ เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของผู้เป็นบิดาและบุคคลที่อยู่ในบ้าน แม้จะมีความสัมพันธ์กับคนที่เธอไม่รู้จักก็ตาม ป้ายบอกทางเข้าไร่พายุภัทรขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ที่ภูเขาลูกเตี้ย ที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ทำให้พิชชาพรถอนหายใจออกมาอย่างแรง เพราะที่นี่กำลังจะเป็นสถานที่ที่ดูดกลืนวิญญาณของความเป็นคนของเธอไปจนหมดสิ้น และต้องติดกับคำว่าขายตัวไปตลอดชีวิต
พ่อเลี้ยงกำพลและแม่เลี้ยงกิ่งแก้ว ยืนรอรับพิชชาพรด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่ที่หน้าบ้านไม้สักทองหลังใหญ่ ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความเมตตา จนคนที่สัมผัสกับดวงตาทั้งสองคู่นั้นรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“หนูทรายเดินทางเป็นยังไงบ้างลูก” กิ่งแก้วเอ่ยถาม
“สวัสดีค่ะคุณท่าน...การเดินทางเรียบร้อยดีค่ะ”
พิชชาพรพนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างนอบน้อม ก่อนจะตอบคำถามของกิ่งแก้ว
“เข้าไปพักที่ห้องก่อนนะลูก มาเหนื่อยๆ คิดเสียว่าบ้านหลังนี้คือบ้านของหนูก็แล้วกัน”
กำพลชายสูงวัยรูปร่างภูมิฐานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เต็มไปด้วยความปรานี กิ่งแก้วพาพิชชาพรมาที่ชั้นบนของบ้านพักที่อยู่ทางปีกซ้ายของตัวบ้าน ห้องที่กิ่งแก้วจัดเตรียมไว้ให้เป็นห้องขนาดกลาง มีระเบียงยื่นออกไป สามารถมองเห็นลำธารสายเล็กที่ตัดผ่าน ส่วนอีกด้านจะมองเห็นทุ่งโล่ง ลมเย็นๆ พัดเอื่อยๆ มาทางหน้าต่างที่เปิดรับลม เตียงขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง เฟอร์นิเจอร์และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน
“พออยู่ได้หรือเปล่าลูก”
กิ่งแก้วถามเมื่อพิชชาพรเดินเข้ามาภายในห้องหลังจากไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียง
“อยู่ได้ค่ะคุณท่าน” พิชชาพรเอ่ยตอบ กิ่งแก้วเดินมาหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่พื้น รั้งตัวเธอให้ลุกขึ้นยืน และเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง
“หนูทราย...การที่หนูมาอุ้มท้องให้เหลนของฉัน ไม่ได้เป็นเพราะบีบบังคับให้พิพัฒน์และหนูยอมตกลงตามข้อเสนอของฉัน หากพิพัฒน์ไม่ตกลงหรือหนูไม่เต็มใจ ฉันตั้งใจจะช่วยพิพัฒน์และกานดาอยู่แล้ว ฉันจึงต้องถามหนูอีกครั้งหนึ่ง เพราะครั้งนี้หนูสามารถตัดสินใจได้โดยไร้ความกดดัน เพราะหนี้สินของพิพัฒน์ได้จบลงแล้ว และอย่าตัดสินใจเพื่อคำว่าบุญคุณ ฉันจึงอยากถามหนูทรายว่าเต็มใจอุ้มเหลนให้ฉันหรือไม่”
กิ่งแก้วถามความสมัครใจของพิชชาพร เพราะนางและสามีไม่ต้องการให้หญิงสาวที่หมายตาเอาไว้ กดดันและรู้สึกอึดอัด หากพิชชาพรตอบตกลงทุกอย่างก็จะเดินหน้าต่อไป หากไม่ตกลงทุกอย่างจะหยุดลงเช่นกัน
“ทรายเต็มใจและยินดีที่จะอุ้มเหลนให้คุณท่านค่ะ” พิชชาพรตัดสินใจพูด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของกิ่งแก้ว หากแต่อีกส่วนหนึ่งเธอเองไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ซึ่งเธอพยายามค้นหาคำตอบมาตลอดทางว่าทำไม หากแต่คำตอบที่ได้รับคือ เธอเกิดมาเพื่อเป็นของเขา
“งั้น!!...ข้อตกลงของเราเป็นเหมือนเดิมนะ ตายุจะเดินทางกลับมาจากอังกฤษมะรืนนี้ หนูทรายจะได้เจอกับพี่เขาแล้วนะลูก...ตายุอาจจะมาถึงที่นี่ดึกหน่อยนะ แต่ฉันบอกจุดประสงค์ของฉันให้ตายุได้รับรู้แล้ว ซึ่งเขาก็เข้าใจ และยอมรับได้ หากแต่มีข้อหนึ่งที่หลานของฉันร้องขอคือ ความสัมพันธ์ระหว่างหนูทรายกับตายุ จะไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทั้งสิ้น หากหนูทรายท้องเมื่อไหร่ ตายุจะเลิกข้องเกี่ยวกับหนูทันที...และอีกข้อหนึ่งหากตายุทำให้หนูทรายตั้งท้องไม่ได้ภายในหกเดือน ทุกอย่างที่เราตกลงกันไว้จะยุติลงทันที”
คำพูดของกิ่งแก้วทำให้หญิงสาวนิ่งอึ้งไปสักครู่ก่อนจะปรับให้เป็นปกติ เธอตระหนักในข้อนี้ดีและรู้สึกพอใจกับคำพูดของกิ่งแก้ว เพราะเธอเดินทางมาที่นี่เพื่ออุ้มเหลนให้กับกิ่งแก้ว ไม่ใช่เพื่อตอบสนองอารมณ์ใคร่ของใคร หากมีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจนน่าจะเป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย
“ค่ะ...คุณท่าน” พิชชาพรรับคำเสียงหนักแน่น
“ห้องนี้จะมีผู้ชายเพียงคนเดียวที่จะเข้ามาได้ คือตายุหลานชายของฉันเท่านั้น เพราะเขามีกุญแจ หนูทรายไม่ต้องตกใจนะลูก หากตายุจะเข้ามาหาหนูตอนดึก”
กิ่งแก้วพูดเตือนหญิงสาว พิชชาพรได้แต่ส่งยิ้มบางๆ เท่านั้น กิ่งแก้วพา พิชชาพรมารับประทานอาหารเย็นด้านล่าง ซึ่งสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านต้อนรับเธออย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง เหมือนกับว่าเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ ทั้งสามคุยกันไปรับประทานอาหารกันไป เพื่อพูดคุยและปรับสภาพเข้าหากัน เพราะเธอต้องอยู่ที่นี่อีกนานตามข้อตกลงที่ให้กันไว้
“ท่าทางวันนี้พายุจะเข้านะคุณ”
กำพลเอ่ยถามภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก เมื่อได้ยินฟ้าคะนองกระจายทั่วบริเวณ เมฆจับกลุ่มเป็นสีดำดูน่ากลัว มีสายฟ้าฟาดลงมาเป็นระยะ
“นั่นน่ะสิคะ...สงสัยคืนนี้ท่าจะหนักแน่เลย ดูสิท้องฟ้ามืดมาเชียว”
“ทำไมถึงมีพายุได้ล่ะคะ หน้าฝนก็ไม่ใช่” พิชชาพรถามด้วยความสงสัย เพราะหน้านี้เป็นหน้าร้อน
“พายุฤดูร้อนน่ะลูก...ประมาณสักสองสามวันนั่นแหละ” กำพลเอ่ยตอบ
“ตอนนอนก็ดึงผ้าม่านลงมานะลูก ถ้ากลัวเสียงฟ้าร้องและกลัวเห็นฟ้าแลบฟ้าผ่า เพราะที่นี่ฟ้าผ่าบ่อยมากหากเกิดพายุ” กิ่งแก้วเตือนหญิงสาวด้วยความหวังดี
“ค่ะ...คุณท่าน” หากกิ่งแก้วไม่บอก เป็นความตั้งใจของพิชชาพรอยู่แล้ว