บทที่ 5 ปัจจุบัน 1.2
ฝ่ายชายพชรดนัยมองไม่ถนัด ภาพใบหน้าของชายผู้นั้นเบลอจนมองไม่ชัดเจน ฝ่ายหญิงเขาจำได้ดีว่าคือใคร หล่อนคือสตรีที่เขามักเห็นซ้อนทับใบหน้าของตนตั้งแต่จำความได้ บางครั้งก็เห็นหล่อนในความฝันที่มักจะมาอยู่ในนิมิตทุกวันพระเสมอ ในวัยเยาว์เขารู้สึกตกใจและหวาดกลัวกับภาพของสตรีนางนั้น จนเขาไม่กล้ามองกระจกทุกบานที่เดินผ่าน เพราะกลัวจะเห็นสตรีที่ไม่พึงปรารถนา
พชรดนัยคิดว่าหากเขาไม่ส่องกระจก ตนเองจะไม่เห็นภาพที่ไม่อยากเห็น การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หล่อนเข้ามาก่อกวนในความฝันของเขา มาปรากฏกายและหลั่งน้ำตา เปล่งเสียงโหยหวนจากความเศร้าที่เกาะกินในใจ พชรดนัยรู้สึกสงสารและเห็นใจสตรีนางนั้นเป็นอย่างมาก รู้สึกเศร้าโศกไปกับหยาดน้ำตาที่รินไหล และเสียงสะอื้นไห้ที่เกาะกินในใจคนฟังประหนึ่งว่าเขาและสตรีคนนั้นสื่อความรู้สึกถึงกันได้
“พี่เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไมครับ” ห้วงแห่งฝันเขากล้าหาญเอ่ยถาม
“ช่วย...ช่วยข้าด้วย” สตรีนางนั้นตอบกลับมาพร้อมกับน้ำตา
“จะให้ผมช่วยอะไรครับ” พชรดนัยถามต่อ เอื้อมมือหมายจะจับร่างของสตรีนางนั้น ทว่าร่างของหล่อนได้หายวับในพริบตา กลายเป็นหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งเข้าไปในบ้านไม้หลังหนึ่งที่มองเห็นไกลๆ เขาวิ่งตามหมอกควันนั้นไป แต่วิ่งอย่างไรก็วิ่งไม่ถึง มันยิ่งห่างเขาไปทุกก้าวที่เขาวิ่ง ห่างจนพชรดนัยคิดว่าคงวิ่งไปไม่ถึง
แล้วความฝันในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวันพระ มันเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และทุกปี จากความกลัวเป็นความเคยชิน จากที่ไม่กล้าส่องกระจกเขาก็พร้อมเผชิญกับมัน มองภาพของสตรีนางนั้นที่ทับซ้อนใบหน้าโดยไม่มีความหวาดกลัว เสมือนเขาและสตรีนางนั้นเป็นคนๆ เดียวกัน
แต่พชรดนัยไม่คิดที่จะบอกใครในเรื่องนี้ เขากลัวว่าจะไม่มีคนเชื่อ กลัวจะมองว่าเขาบ้ามากกว่า เขาจึงเก็บความลับนี้เรื่อยมาตราบจนถึงปัจจุบัน
พชรดนัยมีความรู้สึกว่า หล่อนเป็นจิตวิญญาณที่ตามติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด ตามมาเพื่อต้องการบางอย่าง...บางอย่างที่เขาก็คาดเดาไม่ออกว่าคืออะไร
“เมฆ...เมฆ...เมฆโว้ย”
ภาคินัยตะโกนเรียกชื่อเล่นของพชรดนัยดังลั่นห้อง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตาค้างเบิ่งมองเครื่องประดับสองชิ้นในกล่อง ไม่เพียงแค่เรียกเท่านั้น เขายังชะโงกตัวไปเขย่าร่างของเพื่อนอีกด้วย
“อะ...อะไร” พชรดนัยเอ่ยถามเพื่อนกลับด้วยอาการงงๆ
“นายเป็นอะไรวะ มองของในกล่องตาไม่กระพริบไม่พอ นายทำท่าเหมือนกับเห็นผีด้วย”
ภาคินัยถามต่อด้วยความสงสัย และคำถามของภาคินัยนี้เองทำให้กรุงฉัตรสะดุ้ง ดวงตาเลิ่กลั่กมองไปรอบๆ ห้อง สีหน้าไม่ต่างกับคนกลัวผี กระเถิบเก้าอี้ที่ตนนั่งไปชิดเก้าอี้ของภาคินัย
“แล้วนายเป็นอะไรอีกคนเนี่ยกรุง นั่งซะติดฉันเลยนะ เห็นผีอีกคนหรือไง” ภาคินัยถามแกมหยอก
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ของอย่างนี้ไม่เจอกับตัวนายไม่รู้หรอก”
ดวงตาของกรุงฉัตรหลุบต่ำมองกล่องไม้ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง สลับกันไปมา เขาอยากจะบอกคนปากดีเหลือเกินว่า ที่เขาไม่รับซื้อของในกล่องไม้กล่องนี้จากเพื่อนของน้าสาวที่เดือดร้อนเงินเพราะมันมีอาถรรพ์ที่ทำให้เขาขนลุกขนพองจนต้องนำไปวางไว้ให้ไกลตัว
กรุงฉัตรมองเห็นภาพของสตรีเดินมาหยิบเครื่องประดับในกล่องไม้มาสวมใส่ ยิ้มสลับกับร้องไห้ ครั้งแรกเขานึกว่าตาฝาด แต่พอเห็นอีกครั้งจึงมั่นใจว่าใช่เลย ต้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงแน่นอน ด้วยความกลัวผีเป็นทุนเดิม เขาจึงย้ายที่ไปวางไว้ในห้องพระ และนึกถึงพชรดนัยขึ้นมาในเสี้ยววินาทีนั้น กรุงฉัตรจึงเร่งติดต่อคนที่เขานึกถึง แล้วรอจนกว่าพชรดนัยกลับเมืองไทย กรุงฉัตรจึงนำกล่องไม้มาให้เพื่อนสนิทช่วยซื้อทันที
“เจออะไรวะ” คนปากดีถามกลับ ยังไม่ทันที่กรุงฉัตรจะเอ่ยปากตอบ เสียงของเจ้าของสถานที่ก็ดังทับเสียงเขาเสียก่อน
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกัน กรุงนายบอกว่ามีของจะปล่อยให้ฉัน ของสองชิ้นนี้ใช่ไหม”
“ใช่” กรุงฉัตรตอบ “สองชิ้นนี้แหละ พอดีว่าเพื่อนของน้าปรุงเดือดร้อนเงิน น้าปรุงเลยมาหาฉันพร้อมกับกล่องไม้นี้ น้าปรุงบอกว่าเป็นของเก่าที่ซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว เห็นบอกว่ามีอายุกว่าร้อยปีเชียวนะ น้าปรุงอยากให้ฉันช่วยซื้อแต่นายก็รู้ว่าฉันเล่นแต่ของข้าวของเครื่องใช่ที่เป็นของเก่า ไม่เล่นพวกเครื่องประดับ ฉันเลยนึกถึงนาย เขาขอสามแสนแต่ฉันคิดว่ามันแพงไป แค่หนึ่งแสนก็...”
เป็นอีกครั้งที่เสียงของพชรดนัยดังแทรก แต่ครั้งนี้กรุงฉัตรยังพูดไม่จบประโยคดี แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้เพื่อนอีกสองคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฉันรับซื้อเอง ฉันให้หนึ่งล้านบาท”
“หา...หนึ่งล้านบาท” กรุงฉัตรกับภาคินัยพูดพร้อมๆ กัน
“นายจะบ้าเหรอ ให้ไปได้ยังไงตั้งหนึ่งล้าน มันเยอะเกินไปนะเมฆ” ภาคินัยค้านทันควัน เขาไม่เห็นด้วยกับตัวเลขที่ได้ยิน แม้ว่าจะไม่ใช่เงินของตนเองก็ตาม
“นั่นสิ ราคาที่ฉันให้พี่บอยประเมินมันไม่ถึงสองแสนด้วยซ้ำ ฉันไม่เห็นด้วยนะเมฆ” กรุงฉัตรค้านด้วยอีกคน
“ไม่แพงหรอก คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้ แค่นี้มันยังน้อยด้วยซ้ำ”
พชรดนัยพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ตายังคงมองเครื่องประดับนพเก้าไม่เคลื่อนไปไหน คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองหน้ากัน นึกสงสัยคำพูดของพชรดนัยที่ว่า “คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้” มันหมายความว่าอย่างไร หมายถึงใคร แล้วของชิ้นนี้คือของที่พชรดนัยตามหาอย่างนั้นหรือ
“เมฆที่นายพูดหมายความว่ายังไงวะ” กรุงฉัตรถามเพื่อนให้คลายความสงสัย
“อะไรของนายกรุง อะไรหมายความว่าไง” ผู้ถูกถามกลับถามสวนขึ้นด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน
“อ้าว...ก็ที่นายพูดว่า คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้ แค่นี้มันยังน้อยด้วยซ้ำ ตกลงนายตามหาของชิ้นนี้อยู่เหรอ” กรุงฉัตรมีสีหน้าฉงนมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าพชรดนัยจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดอะไรออกไปไม่รู้ตัวอีกด้วย
“อ๋อใช่ ฉันอยากได้อยู่พอดีเลย” พชรดนัยตอบแบบไหลไปตามน้ำ
“ถึงนายจะอยากได้แต่ก็ไม่น่าจะให้เงินสูงมากขนาดนั้น ฉันว่าแค่ราคาที่เขาขอไว้ก็พอ” กรุงฉัตรยังไม่เลิกค้าน
“ฉันเห็นด้วยกับกรุงนะ ฉันว่าให้แค่สามแสนก็พอ หนึ่งล้านมันเยอะเกินไป” ภาคินัยก็ไม่เลิกค้านเช่นกัน
“ฉันอยากให้เขาเอง เขากำลังเดือดร้อนถือว่าช่วยๆ กันไป เขาหาสิ่งของที่ฉันต้องการ ฉันให้เงินเขาเป็นค่าตอบแทน คิดแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง กรุงนายบอกชื่อนามสกุลของเพื่อนน้าปรุงมาได้เลย ฉันจะเซ็นเช็คให้”
เมื่อเจ้าของเงินคิดและต้องการเช่นนั้น กรุงฉัตรกับภาคินัยก็หมดคำค้าน กรุงฉัตรจึงบอกชื่อนามสกุลของเพื่อนน้าสาวให้กับพชรดนัย ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นเช็คเงินสดหนึ่งล้านบาทให้กับเขาในเวลาต่อมา
ในขณะที่กรุงฉัตรยื่นมือไปรับเช็คใบนั้น สายตาของเขาจับจ้องไปยัง ฝากล่องไม้ที่เปิดค้างอยู่ ลายสลักแสนสวยนั้นปรากฏภาพของสตรีนางหนึ่งส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ใบหน้าของเธอสวยงามแต่ทว่าดวงตาของเธอกลับเป็นสีแดงจัดจ้า อารามตกใจเขาสะดุ้งสุดตัว ตาเหลือกและรีบกระชากเช็คจากมือของพชรดนัยอย่างแรง