บทที่ 5 คนในความลับ (1)
บทที่ 5
คนในความลับ (1)
กลิ่นข้าวต้มหอมอบอวลไปทั่วทั้งโซนครัวในเวลาหกโมงเช้า ข้อมือขาวหยิบทัพพีหมุนวนน้อย ๆ ก่อนจะปิดไฟและโรยต้นหอมผักชีตบท้ายจึงเป็นอันว่ามื้อแรกของวันเสร็จสิ้น
รอยยิ้มหวานผลิกว้างจนตาพราวหยัดโค้ง เธอโน้มใบหน้าลงไปดมกลิ่นเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวหวังจะจัดเตรียมช้อนชามไปวางที่โต๊ะ แต่ทว่ากลับเป็นต้องสะดุ้งเมื่อวงแขนแกร่งอบอุ่นกอดรัดเอวเธอเอาไว้จากทางด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
“อ๊ะ!” ม่านไหมร้องเสียงหลงจนเกือบกรี๊ด แต่เมื่อปะทะเข้ากับสัมผัสคุ้นเคยอันหลงใหลก็เปลี่ยนมาเป็นการตีแผละที่ท่อนแขนเบา ๆ และเอ่ยปากดุอย่างไม่จริงจังนัก “ตกใจหมดเลยค่ะพี่ปริญ ทำไมชอบมาเงียบ ๆ”
ปริญไม่ตอบ แต่เขาวางคางเคยกับไหล่มนของเธอพลางปล่อยลมหายใจจาง ๆ ข้างต้นคอขาวที่มีร่องรอยรักสีแดงประทับตราตรึง ดวงตาคมมองมันอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กดจูบไปยังจุดคิสมาส์กราวกับต้องการให้มันเด่นชัดมากกว่านี้
“ทำไมตื่นไวจังล่ะคะ เพิ่งหกโมงกว่า ๆ เองนี่นา” หญิงสาวถามต่อ สายตาก็มองไปยังนาฬิกาที่แขนติดผนังบ่งบอกว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงสิบห้านาทีเท่านั้น แต่แล้วก็ต้องรีบย่นคอหนีเมื่อน้ำหนักการกดจูบมากขึ้น “พี่ปริญ เดี๋ยวเป็นรอยค่ะ”
“พี่ต้องถามไหมมากกว่าว่าทำไมตื่นไว ตีห้าครึ่งก็ตื่นมาเข้าครัวแล้ว นอนไม่ค่อยหลับเหรอ” ปริญยอมหยุดและส่งคำถามต่อ เขาหันมองคนในอ้อมแขน และเมื่อเธอยังเงียบเขาก็กระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบไปที่จุดสีกุหลาบอีกครั้งเหมือนเป็นการเร่งเร้าให้เธอพูด
“เมื่อคืนไหมนอนไม่ค่อยหลับค่ะ พอตื่นมาตอนตีห้าไหมก็คิดว่าลุกมาทำข้าวต้มเลยดีกว่า ขืนนอนต่อยังไงร่างกายก็ไม่ยอมหลับให้แน่ ๆ” เธอนอนไม่หลับเพราะมีเรื่องให้คิดหนัก พยายามปล่อยวางแล้วแต่คนจมปลักคิดมากอย่างเธอย่อมทำได้ยาก
“แต่เมื่อคืนพี่ก็แกล้งไหมถึงตีสองเลยนะ นึกว่ามันจะช่วยให้ไหมหลับสบายซะอีก”
“พะ...พี่ปริญ!” ม่านไหมหน้าแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศ เธอเบิกตากว้างและรีบหยิกไปที่ท่อนแขนล่ำของปริญทันทีเมื่อเขาพูดถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมา
เธอมีเรื่องเครียดจนปริญดูออก เขาเลยช่วย (?) ทำให้เธอคลายกังวลด้วยเซ็กซ์เผ็ดร้อนจนเธอหมดแรง
เธอถูกเขาลากขึ้นเตียงตั้งแต่สามทุ่มนิด ๆ เสร็จสมครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่ยอมหยุด จนเวลาลากยาวมาถึงตีสองพายุอารมณ์ถึงได้สงบลง ม่านไหมหลับคาอกแกร่ง ส่วนปริญก็กกกอดร่างแน่งน้อยตระกองเข้าสู่อ้อมแขน
และทั้งที่เธอเหนื่อยล้าหมดพลังไปขนาดนั้นยังตื่นก่อนนาฬิกาปลุก ออกมาก็ได้กลิ่นข้าวต้มหอมฉุยพร้อมกับกลิ่นกายสาวหอม ๆ จนต้องเดินมากอดรั้งและซุกไซ้แนบชิดกับเธอเป็นอันดับแรก
“คิดเรื่องอะไรไหม เรื่องใหญ่มากเลยเหรอ” มือใหญ่จับไหล่มนให้หันมาประจันหน้า เสียงเข้มขึ้นมาหนึ่งระดับเมื่อยามที่เขาต้องการเค้นคำตอบจากคนปากหนักอย่างเธอ
ม่านไหมเป็นคนไม่พูด ป่วยไม่สบายหรือน้อยใจอะไรเธอก็ไม่พูด แล้วยิ่งเรื่องบั่นทอนที่ทำให้คนสดใสร่าเริงอย่างเธอหมองลงถนัดตาเขาก็มั่นใจว่าคงต้องใช้เวลามากเลยทีเดียวในการรอฟัง
“ไหม...” ดวงตากลมโตหลุบมองต่ำ หัวใจเต้นกระหน่ำจนไม่กล้าสู้หน้า
เป็นอีกครั้งและอีกครั้งที่เธอมักจะหวั่นกับสายตาคมเข้มคู่นี้ของปริญอยู่เสมอ เวลาเขาอ่อนโยนก็ช่างน่ารักจนหลงไหล แต่เวลาที่เขาดุและจริงจังเขาก็น่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
“เรื่องพี่เหรอ หรือเรื่องอะไร บอกพี่ได้ไหม”
“ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่เรื่องพี่ปริญ” ม่านไหมส่ายหน้าพัลวัน
“แล้วเรื่องอะไรล่ะ” ปกติก็เขานี่แหละคือต้นเหตุหลักที่ทำให้หญิงสาวไม่สบายใจอยู่ตลอด และทุกครั้งม่านไหมก็เลือกที่จะเงียบและปล่อยให้ความทุกข์จางหายไปเอง เป็นเขาที่หลงเหลิงได้ใจที่ไม่ต้องตามง้อตามเป็นห่วง
ม่านไหมโกรธยาก แต่พอโกรธก็หายเร็ว
“คือว่า...” เป็นอีกครั้งที่ม่านไหมหลุบตาลง เธอไม่อยากพูดให้ปริญรับรู้ด้วยซ้ำเพราะคาดเดาถึงอารมณ์ของเขาต่อจากนี้ได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน แต่ในเมื่อถูกถามแบบนี้เธอก็หาข้อเลี่ยงไม่ได้
“คือ?”
“พี่ปิ๋มกับพี่แพทบอกว่าเห็นเราสองคนไปดูหนังด้วยกันเมื่อสองวันก่อนน่ะค่ะ” หญิงสาวหลับตาแน่นและเอ่ยบอกออกไปอย่างจำนน
เมื่อเย็นวานพี่ในแผนกเข้ามาถามเธอด้วยสีหน้าใคร่รู้ บอกว่าเห็นเธอและปริญจูงมือกอดแขนไปดูหนังรอบดึกด้วยกันสองต่อสอง แต่เธอก็ยืนกรานปฏิเสธว่าคนคนนั้นไม่ใช่เธอ ทั้งยังหว่านล้อมหาเหตุผลยกอ้างว่าเธอจะไปดูหนังกับปริญได้ยังไงเพราะเธอและเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน
แน่นอนว่าพี่ในแผนกเชื่อมั่นคำพูดของเธอ และยังเห็นด้วยกับเหตุผลเพราะหากสองคนคบหากันจริงก็ไม่น่าปิดบังซ่อนเร้น คำสงสัยนั้นเลยถูกปัดตกไปโดยปริยายและไม่มีใครตั้งคำถามอีก หากแต่มันกลับยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดและความรู้สึกของเธอไม่จางหาย
เธอจะไม่คิดมากขนาดนี้เลยถ้าหากข้อตกลงของเธอและปริญไม่ใช่การปิดสถานะนี้เป็นความลับ
หากมีคนสงสัยหรือรู้เข้าแน่นอนว่าสถานะลับ ๆ จะต้องจบลง เธอคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนแอบรักได้อีกแล้ว เพราะแบบนี้เธอถึงยอมรับและเลือกที่จะอยู่ในเงามืด ไม่เปิดเผย ไม่แสดงออก เธอมีพื้นที่และตัวตนในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้เท่านั้น ครั้นออกสู่โลกภายในและสังคมกว้างขวางของเขาเธอก็จะเป็นเพียงเศษฝุ่นเล็ก ๆ เท่านั้น
“แล้วไหมบอกไปว่าไง ปฏิเสธหรือแก้ตัวอะไรไปหรือเปล่า” สีหน้าเคร่งขรึมของปริญปรากฏขึ้น มือที่จับลาดไหล่มนก็กดน้ำหนักจนเกือบเป็นแรงบีบ
