ตอนที่ 16 ไม่รู้สึกอะไร
กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบจะสี่ทุ่ม คืนนี้พราวรวีไม่ได้ทำงานต่อเพราะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำไหว แต่หญิงสาวก็ยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้เพราะคนที่คุ้นเคยยังกลับไม่ถึงบ้าน
ถึงแม้ว่าวันนี้จะอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้คุยกับเป็นการส่วนตัว เธอไม่โกรธกวีวัธน์เลยสักนิดที่เขาทำเป็นไม่รู้จักในวันนี้ เพราะมันทำให้เธอทำงานได้อย่างเต็มและไม่ต้องตอบคำถามณิชามนกับคุณกฤษณ์ว่ารู้จักกันได้ยังไง
แต่หลังจากนี้ถ้าณิชามนติดต่อมาอีกก็คงต้องปฏิเสธเพราะกลัวว่าเขาจะอึดอัดที่ต้องร่วมงานกับเธอ
พราวรวีได้ยินเสียงรถที่หน้าบ้าน ก็รีบเดินออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นเขาถือชุดทำงานมาด้วยก็อาสาจะช่วยถือไปเก็บ “ไม่เป็นไรครับพราว ไม่หนักเท่าไหร่”
“มีของในรถอีกไหมคะ”
“มีกระเป๋าโน้ตบุ๊กครับ”
“เดี๋ยวฉันไปเอาให้นะคะ ขอกุญแจรถด้วยค่ะ”
หญิงสาวเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กไปวางในห้องทำงาน แล้วกลับมานั่งรอเขาที่ห้องรับแขก
เมื่อเขาออกมาจากห้องเธอก็ขอเลขบัญชีเพื่อจะโอนเงินค่าของใช้คืนเขา แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าช่วงนี้เขามาอาศัยที่บ้านของเธอและรบกวนเธอมากเกินไปก็เลยอยากจะช่วยค่าใช้จ่ายบ้าง
เธอรู้ว่าเงินแค่นั้นสำหรับเขาคงไม่ได้มากมายอะไร จึงไม่เซ้าซี้ที่จะคืนเขา แต่ก็ยื่นคำขาดไปว่าหลังจากนี้ไม่ต้องให้เงินเธออีก
“คุณวัธน์รู้มาก่อนไหมคะว่าฉันกับนิเป็นเพื่อนกัน” พราวรวีอดสงสัยไม่ได้เพราะมันดูเหมือนบังเอิญเกินไปที่ณิชามนมาชวนเธอไปทำงานด้วย
“รู้ครับ”
“ก็เลยจ้างฉันเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมรู้ว่าคุณเป็นเพื่อนกับคุณนิเพราะมีวันหนึ่งผมเผลออ่านนิยายของคุณที่ทำงาน คุณนิก็เลยบอกว่าคุณคือเพื่อนเธอ ส่วนเรื่องจ้างคุณเป็นล่ามผมไม่รู้มาก่อนเลย”
“แน่นะคะ”
“แน่สิครับ ถ้าผมรู้ผมคงให้ข้อมูลกับคุณไปแล้ว ไม่ต้องให้คุณนั่งศึกษาสัญญาเองหรอก แต่คุณก็เก็บความลับดีเหลือเกิน ไม่ยอมให้ผมเห็นสัญญาเลยสักนิด”
“ก็ยายนิบอกว่าห้ามให้ใครเห็นสัญญานี่คะ”
“นับว่าคุณทำงานได้ดีมาก เก็บความลับได้ดีเลย สงสัยต้องจ้างอีกเรื่อยๆ”
“อย่าเลยค่ะ ทำงานด้วยกันคุณไม่อึดอัดเหรอคะ”
“ไม่นี่ครับ ดีเสียอีกได้เห็นคุณแต่งตัวสวย”
“ปกติฉันคงดูไม่ดีเลยใช่ไหมคะ” เพราะปกติอยู่บ้านส่วนใหญ่ก็แค่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดตัวโต บางวันก็เสื้อกล้าม และแทบไม่เคยแต่งหน้าเลยสักนิด
“ผมว่าคุณว่าชุดไหนก็สวย”
“นั่นสิคะ ปกติเวลาอยู่ด้วยกันคุณแทบมาสนใจด้วยซ้ำว่าฉันใส่เสื้อผ้าแบบไหม”
“จะสนใจเสื้อผ้าทำไม่กันมันก็แค่เปลือกนอก ข้างในมันดูดีกว่าเยอะ เชื่อผมสิ ไม่มีใครสวยเท่าคุณอีกแล้ว” คนพูดไล้ฝ่ามือร้อนไปตามท่อนแขนเนียนที่โผล่พ้นชุดนอนนอนสายเดี๋ยวอย่างแผ่วเบา
“คนปากหวานอย่างคุณเชื่อได้มากแค่ไหนกันเชียวคะ”
“ก็ผมพูดความจริงนี่ครับ แต่คิดดูอีกที่คุณไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอกหรอกนะครับ โดยเฉพาะที่บริษัทผม”
“ทำไมคะ”
“ผมไม่ชอบให้คุณสนิทกับคุณกฤษณ์เลย”
“ทำไมคะ หึงเหรอ”
“เปล่าเลย ก็แค่ไม่ชอบ” เขาไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองทั้งหึงทั้งหวง
“ไม่หึงก็ถูกต้องแล้วนะคะ เพราะเราสองคนไม่มีสิทธิ์หึงไม่ว่าฉันหรือว่าคุณ”
“ถ้าผมมีผู้หญิงมาส่งตาหวานเยิ้มแบบนั้นให้ผม คุณจะหึงไหม”
“ถ้าเป็นแฟนก็หึงค่ะ แต่ถ้าไม่ใช่แฟนก็คงไม่รู้สึกอะไร”
“คุณไม่รู้สึกอะไรกับผมเลยเหรอครับ”
“แล้วคุณล่ะคะ”
เมื่อโดนถามกลับชายหนุ่มก็นิ่งเงียบ กวีวัธน์ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองต้องการอะไรจากเธอกันแน่ ปากบอกว่าแค่คู่นอนแต่ใจกลับรู้สึกอีกอย่าง
“ฉันง่วงแล้ว เรารีบนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้คุณมีงานแต่เช้านี่คะ” เมื่อเขาไม่ตอบคำถามเธอก็ไม่อยากคุยต่อ แม้ใจแอบหวังให้เขาคิดอะไรกับตัวเองสักนิด แต่เมื่อเขาไม่คิดก็ไม่คงไปบังคับไม่ได้เพราะเป็นความผิดของเธอเองที่ง่ายกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ คงไม่มีผู้ชายดีๆ ที่ไหนยอมรับและอยากจะคบหาผู้หญิงใจง่ายแบบนี้
“คุณล่ะ พรุ่งนี้จะออกไปไหนหรือเปล่าครับ”
“ว่าจะเขาสำนักพิมพ์ค่ะ พี่ดานัดคุยนิดหน่อย”
“ออกไปพร้อมกับผมเลยไหมครับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันคงคุยกับพี่ดาไม่นาน ถ้าออกไปพร้อมกันฉันจะกลับยังไงล่ะคะ”
“คุยแล้วกลับเลยหรือเปล่าครับ พรุ่งนี้บ่ายผมไม่มีประชุมเผื่อจะได้ไปทานข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับบ้าน”
“ว่าจะไปหาข้อมูลนิยายเรื่องใหม่นิดหน่อยค่ะ”
“บอกได้ไหมว่าที่ไหน”
“โรงพยาบาลค่ะ พี่ดาจะนัดให้คุยกับหมอคนหนึ่ง พระเอกเรื่องหน้าของฉันมีอาชีพเป็นหมอค่ะ”
“ไหนคุณว่าให้ผมเป็นพระเอกไง”
“ให้คุณเป็นพระเอกหมายถึงหน้าตาค่ะ แต่อาชีพจะให้เป็นหมอค่ะ”
“ทำไม อย่างผมไม่ดีเหรอครับ”
“ดีค่ะ แต่มีหลายเรื่องแล้วที่พระเอกเป็นนักธุรกิจ ฉันเลยอยากเปลี่ยนบ้างอาชีพหมอก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดีนะคะ”
“ครับ คุณว่าน่าสนใจก็คงตามนั้น ไปนอนเถอะครับ คุณเข้าไปก่อนเลยเดี๋ยวผมปิดไฟข้างนอกเอง”
วันรุ่งขึ้น
คนที่ญาดานัดให้เจอกับพราวรวีวันนี้เป็นคุณหมอหนุ่มสุดหล่อจากแผนกศัลยกรรมทั่วไป ทั้งคู่นัดเจอกันที่ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาล
“สวัสดีค่ะคุณหมอชานนท์ใช่ไหมคะ” พราวรวีลุกขึ้นกล่าวทักทายเมื่อเห็นเขาเดินตรงมาที่โต๊ะด้านในสุดที่เธอนั่งอยู่
“สวัสดีครับ ผมหมอชานนท์ครับ คุณพราวรวีใช่ไหมครับ”
“ค่ะ หมอเรียกพราวเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“ครับคุณพราว งั้นคุณก็ต้องเรียกผมว่าหมอนนท์ก็พอครับ”
“ค่ะหมอนนท์ ฉันต้องขอบคุณมากนะคะที่สละเวลามาคุยด้วยและก็ขอโทษที่ทำให้คุณหมอเสียเวลา”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็เป็นเวลาพักของผมพอดี”
“คุณหมอทานข้าวกลางวันหรือยังคะ”
“เรียบร้อยจากโรงพยาบาลแล้วครับ คุณพราวทานหรือยัง ร้านนี้ไม่ได้มีแต่กาแฟนะครับพวกข้าวผัดก็อร่อยเหมือนกัน ผมฝากท้องที่นี่บ่อย”
“ฉันยังไม่หิวค่ะ อยากจะคุยกับคุณหมอก่อน”
“ถ้างั้นคุณอยากรู้อะไรถามผมมาเลยครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะให้ข้อมูลคุณได้มากแค่ไหน”
พราวรวีหยิบกระดาษกับปากกามาเตรียมจดแต่ก็ไม่ลืมที่จะขอบันทึกเสียงของเขาไว้ด้วย
คุณหมอหนุ่มให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตลอดเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงหญิงสาวรู้สึกว่านอกจากเขาจะเป็นหมอที่มีความสามารถแล้วยังเป็นคนคุยสนุก ทำให้เธอกล้าที่จะถามคำถาม
“ขอบคุณนะคะ ฉันได้ข้อมูลเยอะเลย”
“ยินดีครับ วันนี้ผมมีเวลาพักแค่นี้ ถ้าคุณมีอะไรจะถามเพิ่มก็ติดต่อมาได้ตลอดนะครับ ถ้าโทรหาแล้วผมไม่รับก็ทิ้งข้อความไว้ในไลน์นะครับ บางทีผมก็อยู่ในห้องผ่าตัด”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ถ้าไม่เข้าใจหรือติดปัญหาฉันจะติดต่อไปนะคะ”
“ไม่ใช่แค่เรื่องงาน ถ้าคุณผ่านมาแถวนี้ก็แวะมาทักทายหรือมานั่งดื่มกาแฟด้วยกันได้นะครับ”
“ฉันคงไม่กล้ารบกวนขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ ผมมีเพื่อนน้อยมาก และก็จะเป็นหมอด้วยกันคุยเรื่องเดิมก็เบื่อครับ ถ้าได้คุณนักเขียนเป็นเพื่อนอีกคนก็คงดี บางครั้งผมก็อยากออกจากกรอบเดิมๆ”
“ฉันก็ยินดีค่ะที่จะมีเพื่อนเป็นหมอ เอาไว้เรานัดดื่มกาแฟกันวันหลังนะคะ”
“ครับ ผมจะรอคุณนัดมานะ”
เขาเดินออกจากโต๊ะพร้อมกับแวะที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระเงิน พราวรวีไม่ทันได้ห้ามคุณหมอก็จัดการจ่ายค่ากาแฟและค่าเค้กให้เธอไปแล้ว เธอคิดว่าครั้งต่อไปตัวเองจะต้องหาโอกาสเลี้ยงข้าวเขาสักมื้อไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือในฐานะที่เขาช่วยเหลือเรื่องข้อมูลสำหรับนิยายเรื่องใหม่
หญิงสาวออกจากร้านกาแฟมาได้ไม่นานน้ำหวานก็โทรบอกว่าวันนี้เธอไม่ค่อยสบายเลยอยากจะขอลาหยุดครึ่งวันโดยให้น้าแก้วตามาทำงานที่ร้านแทน
พราวรวีรีบไปที่ร้านเพราะวันนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เนื่องจากนิยายที่แก้ไปเกินครึ่งเพิ่งส่งให้ญาดาตรวจเมื่อเช้า เธอจะเริ่มแก้ไขจุดต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าส่วนที่แก้ไปก่อนหน้านั้นใช่ได้ทั้งหมด
นิยายเรื่องใหม่วางพล็อตไว้หมดแล้ว คงจะเริ่มลงมือเขียนไปพร้อมกับแก้เรื่องเดิมไปด้วย ใช่ว่าเธอขยันหรืออยากได้เงินแต่เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองสมองปลอดโปร่งและทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม แม้ว่านักเขียนจะเป็นอาชีพอิสระแต่มันก็มีข้อเสียเพราะในเมื่อมันอิสระไม่มีใครบังคับบางครั้งงานก็เลยเดินหน้าไปได้ช้า ถ้าหากช่วงไหนสมองปลอดโปร่งพราวรวีก็จะรีบทำงานอย่างเต็มที่
“น้ำหวานไปหาหมอแล้วใช่ไหมคะน้าแก้ว”
“ไปแล้วค่ะ ถ้าน้าไม่มาเจอก็นั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นทั้งวันแน่ๆ แล้วนี่คุณพราวงานยุ่งหรือเปล่าน้าช่วยดูร้านให้ก็ได้นะคะ”
“ไม่ยุ่งค่ะ พอดีตอนน้ำหวานโทรไปพราวอยู่ข้างนอกก็เลยมาช้า น้าแก้วมีอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ ยังไงพราวฝากบอกน้ำหวานนะคะว่าอย่าเพิ่งมาทำงาน เดี๋ยวพรุ่งนี้พราวจะมาดูร้านเองค่ะ”
“ได้ค่ะ น้าจะบอกให้นะคะ ถ้าคุณพราวมีอะไรให้ช่วยก็เรียกน้าได้นะคะ”
“ค่ะน้าแก้ว”
นานแล้วที่เธอไม่ได้มานั่งขายของในร้านแบบนี้ การได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตาก็เพลินไปอีกแบบ
ที่ผ่านมาเธอเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เขียนนิยาย แปลนิยาย แปลเอกสาร ทำวนอยู่อย่างนั้นในแต่ละวันแทบไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่ตอนนี้เธอเริ่มคิดแล้วว่าข้างนอกบ้านยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่น่าค้นหา เธอควรออกมาจากกรอบเดิม ควรให้โอกาสตัวเองได้เจอกับคนอื่นบ้าง