บทที่ 1 (2)
เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ก็เป็นเวลาที่พระจันทร์รวมถึงหมู่ดาวทำหน้าที่ต่อจากนี้ ไปจนถึงรุ่งเช้าของวันรุ่งขึ้น พลบค่ำแล้วแสงไฟจากร้านรวงต่างๆ ตึกรามบ้านช่อง ท้องถนนทุกเส้นก็พร้อมใจกันเปิดไฟให้แสงสว่าง ช่วยให้ยามราตรีไม่มืดมิดจนเกินไป
เหล่านักท่องเที่ยวต่างก็ตบเท้ามุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดโต้รุ่งอันเรืองชื่อของหัวหิน จึงไม่แปลกที่จะมีคนต่างชาติต่างภาษาเดินกันเต็มถนน พ่อค้าแม่ค้าต่างให้การต้อนรับกันดิบดี มีทั้งชิมทั้งช้อป เดินเล่นได้ยาวถึงสองฟากถนน จะว่าไปแล้วร้านของฝากถึงแม้จะมีเหมือนๆกัน แต่มันก็คือมนต์เสน่ห์ที่ใครๆก็ต้องมาเยือน เฉกเช่นเดียวกับอันเดรสในตอนนี้
บุรุษร่างสูงใหญ่ หน้าตาบ่งบอกถึงสัญชาติตะวันตกที่มีอยู่ในตัว เดินเคียงคู่กับสตรีรูปร่างผอมบางวัยกลางคน หน้าฝรั่งเช่นเดียวชายหนุ่มรูปงาม ด้านหลังของทั้งคู่มีชายร่างยักษ์ในเครื่องแต่งกายสบายๆเดินตามอยู่สองคน ทำให้ทั้งสี่กลายเป็นจุดเด่น ไม่ว่าจะเดินผ่านไปตรงจุดไหนก็จะมีแต่คนมอง ราวกับว่ามีมาเฟียใหญ่มาเดินชมตลาดก็ไม่ปาน
“คุณนายอันนาครับ เราจะเดินชมร้านค้ากันอีกนานไหม ของมันก็มีเหมือนๆกันแทบทั้งนั้น” อันเดรสถามมารดาที่เดินยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาไม่ใช่พ่อนะที่จะมีความอดทนในการเลือกชมความสวยงามของทุกสรรพสิ่งที่คุณนายอันดาชอบได้ ตอนนี้อยากจะให้พ่อบินด่วนจากอิตาลีมาหาแม่จริงๆ
“เดินยังไม่ถึงครึ่งทางเลย แกจะรีบไปไหนอันเดรส หรืออยากจะกลับไปหาหนูเจด้า ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะรีบให้แกพากลับบ้านพักเลย” คุณนายปรายตามองบุตรชาย นางและลูกชายมักจะใช้ภาษาไทยคุยกันอยู่เป็นประจำ อันเนื่องมาจากนางเป็นลูกครึ่งไทย อิตาเลียน บิดาเป็นคนไทยส่วนมารดาเป็นคนอิตาลี ความรักในสายเลือดไทยจึงมีมาก พอแต่งงานกับสามีที่เป็นคนอิตาลีแท้ๆเช่นเดียวกับมารดา พ่อของอันเดรสก็ดันรักประเทศไทยอีก ทำให้ทั้งคู่ไปๆมาๆระหว่างอิตาลีกับประเทศไทยเป็นประจำ อันเดรสเองก็ได้เลือดพ่อแม่มาเยอะ ตั้งแต่เล็กๆก็หัดพูดภาษาไทยควบคู่กับภาษาอื่นทำให้การใช้ภาษาไทยของเขาอยู่ในระดับดีทีเดียว จึงไม่แปลกที่จะได้ยินเขาสื่อสารได้ไม่ผิดเพี้ยน
“ผมว่าเราคุยเรื่องนี้กันเข้าใจแล้วนะครับ” อันเดรสหรี่ตามองมารดา หลังกลับจากร้านอาหารเขาก็ตรงดิ่งเข้าไปคุยเรื่องเจด้ากับคุณนายอันนาทันที จากการเจรจาประมาณหนึ่งชั่วโมง ผลสรุปก็คือแม่เขาเข้าใจและมีเหตุผลมากพอ ที่ผ่านมาเพียงแค่ต้องการจะกระตุ้นเขาเรื่องหาคู่ครองเท่านั้น ส่วนเรื่องจะกันเจด้าออกไปจากวงโคจรนั้นเขาต้องเป็นฝ่ายดำเนินการเอง แม่เขาจะไม่เข้ามายุ่งหากมันไม่ถึงที่สุดจริงๆ เพราะรายนั้นเขาเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทคุณนายอันนา
“ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เลิกมองฉันด้วยสายตาวางอำนาจแบบนั้นได้แล้ว ไม่เช่นนั้นฉันจะฟ้องพ่อแกว่าลูกชายบังเกิดเกล้าข่มขวัญแม่มัน” คุณนายอันนามองค้อนลูกชายแล้วเดินเลี้ยวเข้าร้านขายเสื้อผ้า
ครอบครัวของแก้วตาก็ออกจากที่พักมาเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่ง ในมือของแต่ละคนมีของกินคนละอย่างสองอย่าง รวมถึงถุงสินค้าอื่นๆอีก ใครชี้นิ้วไปตรงไหนสามคนที่เหลือก็จะมองตาม และแสดงความคิดเห็นออกมา เสียงพูดคุยผสมผสานกับเสียงประกาศดังไปทั่วแลครื้นเครง
“แม่ว่ากางเกงลายช้างสีสวยนะแก้ว ลองเข้าไปดูไหม ใส่นอนท่าทางจะสบาย พวกขาสั้นนั่นน่ะ” แม่สาวิกาชี้นิ้วไปที่ร้านขายเสื้อผ้าลายช้างให้ลูกสาวดู แก้วตาเองก็มองอย่างสนใจจึงพยักหน้าแล้วเดินนำเข้าไปเป็นคนแรก
ข้างร้านเสื้อผ้าที่แม่กับแก้วตาสนใจมีฝรั่งตัวโตสามคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นคือคนที่แก้วตาจำได้แม่นยำ เพราะเห็นเขาที่ร้านอาหารเมื่อตอนเย็น ใบหน้าหล่อขาวนั้นแลดูหงุดหงิด หัวคิ้วชนกันตลอดเวลา เธอเผลอมองนานไปหน่อยระหว่างเลือกกางเกงทางด้านหน้าร้าน คนหล่อสุดในความคิดของเธอก็หันมามองราวกับรู้ว่ามีใครจ้อง เธอเลยทำทีว่ามองดูอย่างอื่น มันดูเหมือนเป็นความคิดที่โง่เขลา แต่เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้หลบสายตาทันทีก็ดูเหมือนจงใจแอบมองเขาจริงๆ เธอจะให้มันเกิดซ้ำสองไม่ได้ ครั้งที่ร้านอาหารก็ทีหนึ่งแล้ว ดีที่แม่เรียกถามว่าเลือกกางเกงได้หรือยัง เธอเลยคุยกับแม่และหยิบกางเกงไปจ่ายเงิน พอจะออกจากร้านเท่านั้นแหละ ชายร่างใหญ่ทั้งสามก็เปลี่ยนเป็นมายืนจังก้าอยู่แถวหน้าร้านที่เธอกำลังจะออก ทำให้เผลอสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเดินตามหลังพ่อไป
“หึ ตลกจริง” อันเดรสส่ายหน้าน้อยๆ แล้วมองตามหลังครอบครัวของสาวถ้ำมอง แววตาของเด็กสาวที่ลอบมองเขาดูซุกซนเสียจริง คนที่ผ่านโลกมาเยอะเช่นเขาเจอคนมาหลากหลายรูปแบบ ทำไมจะมองไม่ออกมาสิ่งที่เจ้าหล่อนทำเมื่อสักครู่คือการเฉไฉ เด็กหนอเด็กไม่เนียนเอาเสียเลย
“หวังว่าเขาจะไม่คิดว่าเราเป็นโรคจิตหรือให้ท่าหรอกนะ เจอใครหล่อใครสวยก็มองไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย แล้วเราจะกังวลทำไมวะเนี่ย คิดมากคิดเยอะเหมือนคนแก่วัยทองเข้าไปทุกที” แก้วตาพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าเดินออกมาไกลจากตรงนั้นพอสมควร
“โรคจิตอะไรพี่แก้ว เมื่อกี้ได้ยินไม่ถนัด ขอฟังอีกรอบ” ภัทรที่เดินเคียงคู่กับพี่สาวถามอย่างสงสัย
“โรคจิตที่ไหนกัน หูฝาดแล้วมั้งภัทร” แก้วตาเฉไฉ แล้วเดินขึ้นหน้าไปคล้องแขนแม่ พลางชี้ชวนให้ดูร้านรวงต่างๆ เพื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
“อะไรของเขา บ่นพึมพำแล้วก็ไม่ยอมรับอีก” หนุ่มหน้าใสส่ายหน้าตามหลังพี่สาว
อันเดรสทอดสายตามองออกไปยังท้องทะเลกว้าง ในมือถือถ้วยกาแฟเอาไว้ มาสถานที่แบบนี้ความจริงมันต้องผ่อนคลาย ซึมซับบรรยากาศบริสุทธิ์เอาไว้ให้มาก ก่อนจะกลับไปสู่โลกของการทำงานอันหนักหน่วง ทุกอย่างมันดีหมดยกเว้นอย่างเดียวนั่นก็คือ
“อันเดรสขา” เสียงเรียกหวานหยดของเจด้า ไม่สามารถทำให้ชายเจ้าของชื่อหันกลับไปมองได้
“มีอะไรเจด้า” เสียงห้วนของอันเดรสเอ่ยกับหญิงสาวเจ้าของกลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลจนเกือบจะฉุนอย่างไม่สบอารมณ์
“ไปเล่นน้ำกับเจด้านะคะ เจด้าไม่อยากเล่นคนเดียว ตั้งแต่มาเรายังไม่ได้ว่ายน้ำด้วยกันเลยนะคะ” สาวสวยในชุดว่ายน้ำวาบหวิวเบียดกายเข้าหาลำตัวของอันเดรสอย่างจงใจยั่ว
“อยากเล่นก็ไปเล่นคนเดียว ผมไม่อยากเล่นกับคุณ” อันเดรสสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเจด้า หากเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงจะสนองความต้องการของหล่อนไปแล้วจะได้จบๆไป แต่สำหรับเจด้าเขาไม่ต้องการจะสานสัมพันธ์ด้วย แม้เพียงฉาบฉวยก็ไม่เคยคิด เพราะหากเขาทำอะไรลงไป ผลที่ตามมาก็คือการบังคับให้รับผิดชอบ ซึ่งเขาไม่มีวันหลงกลมารยานี้แน่ๆ
“ทำไมคุณใจแข็งกับเจด้าจังคะอันเดรส เจด้าไม่สวยตรงไหน ร่างกายเจด้าดูดีขนาดนี้คุณมองไม่เห็นเหรอคะ อกเป็นอก เอวเป็นเอว มีแต่ผู้ชายวิ่งเข้าหาเจด้า มีแต่คุณคนเดียวนั่นแหละที่คอยวิ่งหนี” เจด้าเชิดหน้าจนคอตั้ง เธอดูแลรูปร่างตัวเองอย่างดี ควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนัก สัดส่วนตึงกระชับไม่มีหย่อนคล้อยสักนิด ผู้ชายอื่นเห็นต่างก็จ้องมองราวกับเสือโหย อยากได้เธอกันทั้งนั้น แต่กับผู้ชายคนนี้เธอใช้รูปร่างหน้าตาตัวเองไม่ได้ผล ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม อันเดรสมักจะเพิกเฉยราวกับเธอเป็นเสาหิน
“ผมยอมรับว่าคุณสวย คุณดูดีมากเจด้า แต่ผมไม่ได้พิศวาสคุณในทางเชิงชู้สาวเลย ใครที่ชื่นชมหรืออยากได้คุณจนตัวสั่นก็ไปหาคนพวกนั้นซะ คุณเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านเรื่องบนเตียงมา ไม่ต้องพยายามหาทางเอาชนะใจผม ถ้ามันจะสำเร็จมันสำเร็จไปนานแล้วเจด้า” อันเดรสพูดจบแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งเจด้าให้ยืนโมโหอยู่คนเดียวเหมือนทุกครั้ง
“อันเดรส กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” เจด้าตะโกนเรียกเสียงดัง แต่เขาก็ไม่เดินกลับมา