บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 ปลาติดเบ็ด

เจ็ดนาฬิกาของวันใหม่ คุณแม่ยังสาวเข็นรถเข็นเด็กมาถึงร้านกาแฟที่อยู่ตรงหัวมุมถนน ซึ่งเจ้าของร้านเปิดร้านพอดี เมื่อเธอหันมามองก็เห็นคนในรถเข็นกำลังนอนหลับปุ๋ย

“อ้าว! ทำไมถ่านหมดตั้งแต่เช้า หรือนอนขี้เซายังไม่ตื่น”

“เมื่อคืนน้องพร้อมนอนดึก แถมยังตื่นมาชวนฉันเล่นตั้งแต่ตีห้า ไม่รู้ไปคึกอะไรมา แต่พอฟ้าสว่างก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ฉันเปลี่ยนผ้าอ้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วจับใส่รถเข็นพามาที่ร้านเลย”

น้องพร้อมในวัยสิบเดือนที่มีน้ำหนักถึงสิบกิโลกรัมทำให้ชีวาพรรับน้ำหนักนานๆ ไม่ไหว เธอจึงเลือกใช้รถเข็นในการพาลูกไปไหนต่อไหนแทนการอุ้มในเป้เด็กเหมือนเมื่อก่อน

“งั้นเธอพาบูบุ๊ยไปนอนในร้านก่อน อ้อ! ฉันหุงข้าวสำหรับออร์เดอร์ข้าวกล่องสามสิบกล่องที่จะส่งให้ลูกค้าตอนเที่ยงไว้แล้วนะ ที่เหลือเธอทำต่อเอง เดี๋ยวฉันจะไปจ่ายค่าไฟก่อน เมื่อกี้จ่ายผ่านแอปไม่ผ่าน มันเลยกำหนดจ่ายมาแล้ว”

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”

นิสาฉวยรถมอเตอร์ไซค์แล้วบึ่งออกไปอย่างคล่องตัว ชีวาพรมองตามหลังเพื่อน แล้วขมวดคิ้วสงสัย...ไม่รู้ว่าเจ้าตัวลืมจ่ายหรือไม่ได้จ่ายเพราะการเงินไม่คล่องกันแน่

ชีวาพรพาน้องพร้อมเข้าไปนอนในร้าน พื้นที่ด้านในติดกับเคาน์เตอร์เก็บเงินมีพื้นที่ว่างพอสำหรับวางคอกกั้นให้น้องพร้อม เธอจึงพาลูกมาเลี้ยงที่นี่ได้ โดยอาศัยจังหวะปลอดลูกค้าอุ้มเจ้าตัวกลมไปเล่นนอกร้านเป็นระยะเพื่อไม่ให้ลูกอุดอู้มากเกินไป

น้องพร้อมเป็นเด็กอารมณ์ดี สำหรับเธอแล้ว ลูกเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย แถมยังเป็นเด็กตัวโตและสมบูรณ์ น้ำหนักและส่วนสูงของน้องพร้อมอยู่ในเกณฑ์บนของเด็กวัยเดียวกัน ทั้งที่เธอมีรูปร่างกะทัดรัด มันจึงทำให้ใครต่อใครที่เห็นลูกชายต่างคาดเดาไปถึงคนเป็นพ่อ...

หากคงมีแต่นิสาเท่านั้นที่เคยเห็นทั้งพ่อทั้งลูก ซึ่งเพื่อนของเธอคงรู้ว่าน้องพร้อมแทบจะย่อส่วนมาจากธีทัตก็ว่าได้ แต่ชีวาพรรู้ว่าให้ตายอย่างไรนิสาไม่มีทางพูดคำนี้ออกมาอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ถ้าหากใครตั้งข้อสังเกตว่าน้องพร้อมหน้าตาเหมือนใคร นิสาก็จะตัดบทพร้อมกับสายตาขุ่นเขียวว่า...

‘เหมือนแม่เขาสิ!’

“ตูม! ปลาติดเบ็ด”

คนที่นั่งซดเบียร์ตรงเก้าอี้ริมสระพูดขึ้นมาพร้อมกับเสียงน้ำแตกกระจายเมื่อใครสักคนพุ่งตัวลงไปในสระว่ายน้ำ คนที่นอนอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ จึงต้องลดหนังสือลงมามอง แล้วถามอย่างงุนงง

“มีอะไร? ปลาที่ไหนติดเบ็ด?”

แถวนี้มีแต่พี่ชายของตนทั้งสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนอีกคนนั้นกำลังจ้วงแขนว่ายน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ปลาฉลามในสระ”

“ปลาไหลไฟฟ้าต่างหาก”

ถามเองแย้งเอง...อันที่จริงภพธรไม่มั่นใจหรอกว่าคนในสระว่ายน้ำเป็นปลาไหลไฟฟ้าได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ...พี่ชายใหญ่ไม่เหมาะกับปลาฉลามนักล่าอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้ออกล่าเหยื่อ แต่เขาอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่าวางกับดักแล้วรอให้เหยื่อหลงมาติดกับเอง

“อ้าว! มึงด่าเฮียธีร์ว่ากะล่อนตอแหลแหรอ”

ชนกันต์ทำเสียงโวยวาย ฟังก็รู้ว่าตั้งใจจะให้คนในสระได้ยิน ซึ่งภพธรได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา รู้ว่าตนถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พี่ชายคนที่สามหลอกด่าพี่ชายใหญ่เสียแล้ว เขาคิดจะจบเรื่อง...แต่ต่อมอยากรู้รั้งไว้เสียก่อน

“ช่วงนี้เฮียธีร์เครียดเรื่องอะไร”

“เรื่องเมียไง”

“เมียเก่า?”

“ก็นั่นแหละ...คนนั้นคนเดียว”

“บ้าหรือเปล่า เรื่องผ่านมาสองปีแล้ว ป่านนี้น้องกวางเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปแล้วมั้ง”

“สองปีที่ไหน แค่ปีกว่าเอง...ว่าแต่นายสนิทสนมกับเมียของเฮีย ไม่รู้เหรอว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน มีผัวใหม่ไปหรือยัง”

“ตอนที่น้องกวางเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านเรา ฉันก็เทกแคร์เธอไปตามหน้าที่น้องสามี เพราะไม่อยากให้เธอเคว้ง แต่พอพวกเขาหย่ากัน ฉันก็เคารพการตัดสินใจของทั้งสองคน ฉันไม่ได้ติดต่อกับน้องกวางอีก เพราะฉันเป็นน้องของเฮีย ฉันกลัวเธอลำบากใจ นายก็รู้ว่าตอนเลิกกัน สภาพของน้องกวางย่ำแย่แค่ไหน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา...ถ้าตอนนี้น้องกวางเริ่มต้นใหม่กับผู้ชายคนอื่น มันก็เป็นสิทธิ์ของเธอ เพราะเรื่องของเธอกับเฮียมันจบลงแล้ว”

ภาพเหตุการณ์ที่ชีวาพรตามไปเฝ้าธีทัตที่บริษัทหลังจากพวกเขาหย่าขาดกันแล้วยังติดตาภพธร เธอนั่งเหม่อลอยน้ำตาไหลอยู่บนโซฟาตรงมุมรับแขกภายในห้องทำงานของธีทัต โดยที่เจ้าของห้องไม่สนใจ ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน มันทำให้ภพธรสงสารเธอจับใจ ในตอนนั้นเขาต้องเมินหน้าหนี เพราะไม่อยากเห็น เขาไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ เขาปล่อยให้เธออยู่กับตัวเองต่อไป เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรถึงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

“ตอนแรกฉันเห็นว่ากวางดูเป็นผู้ใหญ่ วางตัวดี แต่พอแต่งงานกับเฮีย เธอกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน”

ชนกันต์พูดแล้วส่ายหน้า คิดไปว่าตนคงมองผู้หญิงไม่ออกจริงๆ ส่วนภพธรได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ...อะไรกันล่ะที่สามารถเปลี่ยนผู้หญิงเข้มแข็งคนหนึ่งให้กลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอได้ในเวลาไม่กี่เดือน

ภพธรไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแต่งงานเพื่อควบธุรกิจตั้งแต่ต้น มันเป็นการนำคนสองคนมาเล่นเกมความรู้สึกกัน ใครชนะก็อยู่ต่อ ส่วนคนแพ้ก็บอบช้ำปางตาย แต่เขาห้ามใครไม่ได้ เพราะตอนนั้นทั้งพ่อทั้งพี่ชายใหญ่ก็มองทุกเรื่องง่ายดายไปเสียหมด...ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ผิดจากที่เขาคิดไว้ที่ไหนกัน

“เมื่อวานเลขาฯ ของเฮียสะกิดบอกฉันว่าลูกชายของอานพไปพบเฮียที่บริษัท”

ชนกันต์พูดขึ้นมาอย่างนึกได้ เพราะเขากำลังสงสัยว่าธีทัตเครียดเรื่องอะไร ถึงตอนนี้เจ้าตัวยังจ้วงเอาๆ โดยไม่ยอมพัก

“เขามีธุระอะไรถึงไปพบเฮีย?”

ภพธรอยากรู้ขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาจำได้ดีว่าในช่วงที่คุณนพดำเนินการขายหุ้นบริษัท ลูกชายของเขาไม่ได้สนใจสถานการณ์ย่ำแย่ของครอบครัวเลย เจ้าตัวย้ำถามแต่ว่าตัวเองจะได้ส่วนแบ่งจากการขายหุ้นเท่าไร

ภพธรเห็นใจคุณนพมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะดูเหมือนว่านอกจากลูกสาวคนเล็กแล้วไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลย...ไม่เว้นแม้แต่ลูกอีกสองคน

“ไม่รู้สิ อาจมาถามถึงพ่อของเขาก็ได้ อานพไม่สบายอยู่นี่นา”

“นอกจากพวกเราแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเฮียธีร์กำลังดูแลอานพอยู่ แม้แต่ลูกของอานพทั้งสามคน เราสองคนก็รู้เรื่องนี้จากเฮียก่อ อานพขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นลับ เพราะไม่อยากให้ลูกๆ ไม่สบายใจ”

“ถ้าลูกชายของอานพไม่ได้มาถามถึงพ่อ...ถ้าอย่างนั้นก็คงมีอยู่เรื่องเดียว”

“เรื่องเงินเหรอ?”

ชนกันต์หัวเราะหยันในลำคอเป็นคำตอบให้กับน้องชาย...เมื่อมองลึกเข้าไปในชีวิตของชายวัยกลางคน ความรู้สึกของเขามันมากเกินกว่าคำว่าสงสาร...เรียกได้ว่าเวทนาและหดหู่ใจทีเดียว

“สมัยเราเริ่มโต พ่อพาเราไปเรียนรู้งานในบริษัท ฉันรู้จักอานพในฐานะนักธุรกิจที่มีชื่อในช่วงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าแค่สิบกว่าปีต่อมา มันเป็นเวลาที่ไม่นานเลย ชีวิตของอานพกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ”

ภพธรพูดถึงอดีตที่เขายังจำได้อย่างแม่นยำ...นอกจากชีวิตของคุณนพจะล้มคว่ำแล้ว เขากำลังสงสัยว่าชีวาพรอาจไม่รอดด้วยเช่นกัน เมื่อคนเป็นพ่อมีพี่ชายของเขาเป็นคนดูแล แล้วลูกสาวคนเล็กของคุณนพล่ะ...ตอนนี้มีใครอยู่เคียงข้างเธอหรือเปล่า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel