บทที่ 3 ปลาติดเบ็ด
ลิ้นชักตู้เก็บเอกสารในห้องทำงานถูกเปิด ข้างในนั้นมีซองสีน้ำตาลถูกเก็บไว้อย่างดี มือหนาดึงเอกสารสัญญาออกมาดู แค่เห็นตัวหนังสือบนหัวกระดาษ หัวใจของเขาก็กระตุก เพราะใบหน้าของเธอคนนั้นลอยเด่นเข้ามาในมโนสำนึก
ชีวาพร...ลูกสาวคนเล็กของคุณนพ นักธุรกิจใหญ่ที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัยพ่อของเขา หากเมื่อถึงจุดหนึ่งที่กิจการของคุณนพซบเซาจนไปต่อไม่ได้ นอกจากมันจะไม่ถูกแก้ไขแล้ว แต่คุณนพกลับไม่บอกความจริงกับลูกสาวคนโตและลูกชายคนรองที่อยู่ต่างประเทศให้รับรู้ ทั้งสองคนจึงใช้ชีวิตเยี่ยงลูกเศรษฐี ธีทัตรู้เห็นทุกอย่าง แต่เขาถือว่ามันเป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น ตนไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม
กระทั่งวันหนึ่งคุณนพมาปรึกษาพ่อของเขาเรื่องต้องการขายหุ้นบริษัท พ่อสนใจ เพราะธุรกิจนั้นสามารถรวบเข้ากับธุรกิจในเครือของราชเวคินได้ มันจะกลายเป็นกิจการที่เอื้อประโยชน์กัน แต่ติดตรงที่ผู้ก่อตั้งบริษัทซึ่งก็คือพ่อของคุณนพได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่าห้ามขายหุ้นให้กับคนนอก เพราะต้องการให้บริษัทเป็นที่ทำมาหากินของลูกหลานในตระกูลเท่านั้น
‘ธุรกิจน่าสนใจ แต่ถ้าเราไปซื้อมา มันก็ขัดเจตนาของผู้ก่อตั้งบริษัท ถึงแม้เขาไม่อยู่แล้ว แต่ผมก็จะไม่ยุ่ง...ราชเวคินยังมีทางเลือกอื่นอีกมาก’
ราชเวคินเป็นเหมือนปลาใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ เส้นทางทำการค้าสะดวกทุกทาง ราชเวคินอยู่ในฐานะผู้เลือกได้ ถ้าเห็นว่าตรงไหนที่ส่อเค้ายุ่งยาก ธีทัตก็จะเลี่ยง เพราะเขาไม่ชอบปัญหา...ทว่าพ่อกลับมีเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อาจตัดใจ
‘เราไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของราชเวคิน แต่เราทำเพื่อช่วยคุณนพ คุณนพกับพ่อคบหากันมานาน ตอนวัยหนุ่มเราเคยเรียนที่อเมริกาด้วยกัน ล้มลุกคลุกคลานกันมาพอสมควร ถึงตอนหลังไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พ่อยังนึกถึงมิตรภาพเก่าๆ...ตอนนี้สุขภาพของคุณนพไม่ค่อยดี งานส่วนใหญ่เลยอยู่ในมือของลูกสาวคนเล็ก พ่อห่วงว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ทั้งงานทั้งคนคงต้องล้มสักวัน’
‘เราช่วยคุณนพทางอื่นก็ได้ อย่าพาตัวเองไปยุ่งกับบริษัทของเขาเลยครับ ถ้าเราฝืนเจตนาของผู้ก่อตั้ง เราอาจมีความผิดทีหลัง ผมไม่อยากเสี่ยง’
ธีทัตปฏิเสธทุกทาง เขาสามารถช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่อย่าดึงเขาไปพัวพันกับปัญหา
‘ถ้าคนที่บ้านเราเข้าไปเป็นคนในครอบครัวของคุณนพ คุณนพก็จะถ่ายโอนหุ้นให้กับราชเวคินได้’
‘พ่อจะยกฟ้าใสกับตะวันให้เป็นหลานของคุณนพเหรอ งั้นก็ลองดู เผื่อนายก่อกับฝนจะยอม’
ธีทัตไม่ได้นึกเป็นจริงเป็นจัง เพราะรู้ว่าพ่อหวงหลานทั้งสองคนซึ่งเป็นลูกสาวและลูกชายของก่อฤกษ์กับฝนแก้วมาก พ่อไม่มีวันยกหลานรักให้ใคร...ทว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอของพ่อ มันก็ทำให้เขาหยุดอารมณ์ขันโดยพลัน
‘ถ้าพวกแกคนใดคนหนึ่งจดทะเบียนสมรสกับลูกสาวของคุณนพ เราก็จะซื้อหุ้นบริษัทได้โดยไม่ขัดเจตนา’
‘พ่อพูดเป็นละครไปได้ ใครจะเอาชีวิตทั้งชีวิตไปแลกกับหุ้นบริษัทที่กำลังจะล้ม มันคุ้มที่ไหนกัน’
‘ทั้งชีวิตที่ไหน แค่จดทะเบียนสมรสและจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้พอมีพยานรับรู้ จากนั้นก็ทำเรื่องซื้อขายหุ้น คุณนพก็จะรอดพ้นจากข้อหาขายหุ้นให้คนนอก พ่อว่าใช้เวลาทำธุรกรรมไม่เกินครึ่งปีก็เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็หย่าขาดได้...เรื่องนี้ตัดนายก่อออกไป เพราะมันมีลูกมีเมียแล้ว ทีนี้ก็เหลือพวกแกสามคน’
ธีทัตรู้สึกมึนเหมือนถูกทุบด้วยของแข็ง เขามองพ่ออย่างงงๆ
‘พ่อพูดเล่นหรือเปล่า’
‘แกเห็นพ่อเป็นเพื่อนเล่นเหรอ’ พ่อไม่โกรธ เพราะพ่อหัวเราะร่วนทีเดียว ‘แกสนิทสนมกับลูกสาวของคุณนพ แกไม่สนใจเหรอ’
‘ถ้าผมเอาเงื่อนไขแบบนี้ไปเสนอเขา เขาคงตบผมหน้าหัน’
ในตอนนั้นธีทัตนึกถึงนาตาลี เธอเป็นลูกสาวคนโตของคุณนพ เธอใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศเป็นหลัก แต่กลับมาที่เมืองไทยบ่อยๆ เขาได้รู้จักเธอผ่านเพื่อนของเขา เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและคล่องแคล่ว ยอมรับว่าเขาถูกตาต้องใจเธอมาก เขาจึงหยั่งเชิงด้วยหวังจะขอคบหา ซึ่งเธอก็มีไมตรีตอบรับ แต่บังเอิญเขาได้รู้เรื่องยุ่งๆ เกี่ยวกับกิจการของครอบครัวเธอเสียก่อน เขาเลยหยุดตัวเองไว้แค่นั้น
‘ถ้าแกตกลง คุณนพจะคุยกับลูกสาวของเขาเอง’
‘เดี๋ยวนะ! พ่อพูดอย่างนี้หมายความว่าพ่อกับคุณนพตกลงกันไว้แล้วใชไหม’
‘เออสิวะ! ของพวกนี้มันต้องคุยกันหลังบ้านก่อน จู่ๆ จะให้แกไปยื่นข้อเสนอกับพวกเขาได้ยังไง ถ้าเผื่อเขาไม่เห็นด้วย มันจะกลายเป็นเราจ้องฮุบกิจการของเขา ถึงเราตั้งใจจะช่วยเขาก็ตาม’
ธีทัตส่ายหน้าอย่างระอา บอกให้รู้ว่าหนนี้พ่อทำเรื่องไม่เป็นเรื่องจริงๆ เพราะสำหรับเขานั้นมันไม่มีอะไรจูงใจสักอย่าง ไม่ว่าบริษัทที่กำลังจะล้ม หรือแม้แต่ลูกสาวคนสวยของคุณนพที่ยังใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางหนี้สินที่พ่อของตัวเองกำลังแบกรับ
‘ผมไม่รู้จะเอาลูกสาวของคุณนพมาทำเมียทำไม ถึงพ่อบอกว่าแค่ช่วงสั้นๆ ก็เถอะ’
‘พ่อไม่ได้บอกให้แกเอาลูกสาวของเขามาทำเมีย แต่บอกให้จดทะเบียนสมรสและจัดงานเลี้ยงเล็กๆ แกคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย’
ถึงคราวที่พ่อทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขาบ้าง ก่อนที่พ่อจะลุกเดินหนีไป
ถูกต้อง...ธีทัตไม่ได้สนใจลูกสาวคนโตของคุณนพ เขาไม่สะดวกใจที่จะแต่งงานกับเธอ แม้เป็นการแต่งงานในนามก็ตาม เพราะบางสิ่งบางอย่างในตัวเธอทำให้เขารู้สึกขยาด...แต่เวลานั้นเขาไม่ได้หมายถึงลูกสาวคนเล็กของคุณนพสักหน่อย
อากาศในตอนกลางคืนเย็นลงกว่าตอนกลางวัน อุณหภูมิลดต่ำลงถึงสิบห้าองศาเซลเซียส ชีวาพรพอคุ้นเคยกับมัน เพราะเธอเคยสัมผัสหน้าหนาวของจังหวัดเชียงรายมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นเธอกับนิสานอนกอดกันกลมอยู่ในหอพักตามประสานักศึกษาต่างถิ่นที่ไม่คุ้นกับอากาศหนาว แต่ตอนนี้มีคนตัวกลมหนึ่งคนที่สัมผัสหน้าหนาวเป็นครั้งแรก แต่เจ้าตัวกลับกระดี๊กระด๊าชอบใจเสียเหลือเกิน จนเวลาสามทุ่มแล้วก็ยังไม่ยอมเข้านอน
“น้องพร้อมมาให้แม่กอดหน่อยค่ะ แม่หนาวมาก แม่อยากกอดหนู”
น้องพร้อมฟังรู้ความแล้ว รู้ว่าแม่เรียกให้ไปหาเจ้าตัวน้อยจึงผละจากโต๊ะตัวเตี้ยที่ยืนเกาะเล่นอยู่ตั้งนาน แล้วคลานตุ้บตั้บไปหาแม่
ชีวาพรรั้งร่างเล็กกลมเข้าสู่อ้อมกอด ลูกน้อยเงยหน้าขึ้นไปมองแม่ แววตาของลูกเปี่ยมด้วยความรักและไว้วางใจ มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์เหลือเกิน ชีวาพรไม่เคยรู้จักความรักแบบนี้ เพราะไม่เคยมีใครมองเธอด้วยสายตาเหมือนที่ลูกกำลังมอง...
“อุ่นจังเลย แม่กอดหนูแน่นๆ เลยนะคะ”
เมื่อแม่แกล้งกอดแน่นมากขึ้น แทนที่น้องพร้อมจะดิ้นหนี แต่เจ้าตัวกลมกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจ ยกลำแขนเล็กอวบขึ้นไปกอดคอแม่ จนแม่ต้องหอมแก้มกลมๆ อย่างเต็มรัก
“ชื่นใจจัง แก้มน้องพร้อมหอมจังเลย”
รู้ว่าแม่ชม เจ้าหนูตัวกลมเลยตีปีกดีใจใหญ่เลย ชีวาพรหัวเราะขันลูกชาย เธอเรียกลูกให้มาหาด้วยหวังจะกอดลูกให้อยู่นิ่งๆ แล้วกล่อมให้เข้านอน แต่น้องพร้อมกลับคิดว่าแม่กำลังเล่นด้วย เจ้าตัวจึงทั้งกอดทั้งหอมแก้มของแม่จนน้ำลายเปื้อนหน้าของแม่ไปหมดแล้ว
“เอิ๊กๆๆ”
แววตาของทารกวัยสิบเดือนช่างรู้ความเหลือเกิน...น้องพร้อมชอบใจที่เห็นแม่เช็ดน้ำลายของตัวเองออกจากใบหน้า ชีวาพรคว้าร่างกลมมากอดรัดอย่างมันเขี้ยว ลูกก็ดิ้นหนีอย่างสนุกสนาน แต่พอเธอหยุดเพราะกลัวลูกจะเหนื่อย น้องพร้อมกลับขยี้ใบหน้ากับมือของเธอเป็นเชิงเรียกร้องให้แม่เล่นกับตนอีก
“ค่อยเล่นพรุ่งนี้นะคะ ตอนนี้ดึกแล้ว หนูต้องนอนแล้ว”
ได้ยินเพียงเท่านั้น เจ้าหมูน้อยจอมพลังก็คลานตุ้บตั้บหนี ชีวาพรจึงต้องลุกจากที่นอน แล้วยกร่างกลมกลับไปที่เดิม เมื่อลูกจะผละหนีอีกหน เธอจึงต้องใช้กลวิธีใหม่
“แม่ง่วงนอน น้องพร้อมมากล่อมแม่หน่อยค่ะ มาให้แม่กอดหนูอุ่นๆ เลยนะ”
ไม่รู้ว่าลูกฟังเธอพูดรู้เรื่องหรือเปล่า แต่ลูกขยับไปนอนซุกอกเธออย่างน่าเอ็นดู
“นอนนะคะ พรุ่งนี้เราจะตื่นนอนกันตั้งแต่เช้า แล้วไปทำงานที่ร้านของน้านิสากัน”
ชีวาพรหอมศีรษะเล็กทุย ลูบแผ่นหลังเล็กเพื่อให้ลูกผ่อนคลายและสบายตัว ซึ่งไม่ถึงนาที เด็กจอมพลังก็นอนนิ่งในอ้อมกอดของแม่อย่างอบอุ่น
