บทที่ 2 มนุษย์จิ๋วจากดาวดวงไกล
สถานะแม่ม่ายลูกติดไม่อาจลดทอนความภูมิใจของเธอลงได้ เพราะมันหมายถึงเธอมีแก้วตาดวงใจเข้ามาให้รักหนึ่งคน
ชีวาพรช้อนร่างป้อมของลูกชายขึ้นมาจากรถเข็น หลังจากพาเจ้าตัวกลมกลับมาถึงบ้านเช่าที่อยู่ห่างจากร้านกาแฟประมาณสี่ร้อยเมตร
เมื่อเดือนกันยายนปีก่อน เธอนั่งเครื่องบินมาลงที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยไม่รู้จุดหมายปลายทางที่จะไปต่อ เมื่อคิดว่านอกจากบ้านที่กรุงเทพฯ แล้ว เธอนึกถึงที่ไหนอีก...ก็คงเป็นที่แห่งนี้ เพราะเธอเคยมาเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ถึงสี่ปี
ความเคยชินพาเธอกลับมา เมื่อนั่งอยู่ในสนามบินได้สักพัก เธอจึงโทร.ไปหานิสา เพื่อนร่วมคณะที่ยังปักหลักอยู่ที่เชียงราย ทั้งที่เจ้าตัวไม่ใช่คนในพื้นที่นี้เลย
เมื่อนิสามาถึง ชีวาพรยังจำสีหน้าตกใจของเพื่อนได้...เรียวปากสวยแย้มเป็นเชิงหยัน เธอกำลังหยันตัวเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น
‘กวาง! เธอท้องใช่ไหม? ไหนเมื่อ 2-3 เดือนก่อนเธอบอกว่าหย่ากับคุณธีร์แล้วไง’
‘อืม...’
นั่นคือคำตอบของเธอ แม้เธอพยายามทำหน้าตาให้สดชื่น แต่สภาพของคนที่นอนไม่หลับมานานนับเดือน มันคงไม่ดีไปกว่าซอมบี้สักเท่าไร
‘ไปที่ร้านของฉันก่อน’
‘ร้านอะไร? เธอเปิดร้านขายของเหรอ’
‘ใช่ ฉันยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง งานบริษัทที่ฉันเคยทำปิดตัวไปแล้ว ฉันตกงาน ฉันเลยเอาเงินที่มีติดมือมาเปิดร้านกาแฟ แต่ความจริงฉันก็ทำสารพัดอย่าง มีทั้งเบเกอรี่ ขนมกล้วยทอด ข้าวกล่องก็มี แล้วแต่ลูกค้าอยากได้อะไร ฉันจัดให้ได้ทั้งหมด’
เธอหยุดชะงักทันที เพราะลังเลว่าตนมารบกวนเพื่อนหรือเปล่า เห็นอยู่ว่านิสาคงใช้ชีวิตอย่างดิ้นรน กังวลว่าตัวเองมาเป็นภาระของเพื่อน...ซึ่งท่าทางของเธอ นิสาก็ดูออก
‘อย่าคิดมาก ฉันสบายดี ฉันมีความสุขมากกว่าตอนทำงานในบริษัทเสียอีก เธอไปกับฉัน พาเจ้าบูบุ๊ยในพุงไปพักที่บ้านน้านิสาก่อน’
นิสาช่วยเข็นกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถรับจ้างที่จอดอยู่หน้าสนามบิน แล้วบอกจุดหมายปลายทางเป็นร้านกาแฟของตัวเองโดยไม่ถามสักคำว่าทำไมอยู่ๆ เธอถึงโผล่มาที่นี่ได้ อีกทั้งยังขนข้าวของมาอย่างกับจะย้ายบ้าน เพราะถ้าหากนิสาถามขึ้นมาในเวลานั้น มั่นใจได้เลยว่าเธอต้องร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้าอย่างแน่นอน
ชีวาพรไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนั้น แต่เธอจมอยู่กับมันนานเกือบสามเดือนนับตั้งแต่หย่ากับธีทัต เวลาของเธอหมดไปกับการตามเฝ้าอดีตสามี เธอตามตื๊อเขาทุกทางทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้น แต่เธอก็ยังทำ...ทำทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขาแล้ว
ผู้หญิงประเภทไหนกันที่ทำตัวอย่างนี้ ชีวาพรเกลียดตัวเองในช่วงเวลานั้นเหลือเกิน เธอไม่อยากกลับไปเป็นผู้หญิงไร้สติคนนั้นอีก
กระทั่งตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ชีวาพรรับรู้ถึงแรงดิ้นของลูกในท้อง เธอท้องเข้าเดือนที่สี่แล้ว ซึ่งทุกครั้งที่ไปเผชิญหน้ากับอดีตสามี เขาไม่เคยสังเกตร่างกายของเธอ เรียกได้ว่าเขาไม่ชายตาแลเธอคงถูกต้องกว่า...ลูกจึงยังเป็นความลับสำหรับเขามาจนถึงวันนี้
เธอตัดสินใจขนเสื้อผ้าออกจากบ้านในช่วงสายของวันนั้น...บ้านหลังนั้นเธอเคยอาศัยตั้งแต่จำความได้ ซึ่งอยู่ระหว่างการฝากขายกับนายหน้า มันจึงไม่มีใครพักอาศัยอีก ไม่ว่าพ่อ พี่ชาย หรือพี่สาว ทุกคนต่างแยกย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ เหลือเพียงเธอที่ยังจมปลักอยู่ที่เดิม
เมื่อยอมรับความจริงได้ว่าถึงอยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชีวาพรจึงขนเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว แล้วซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางมาที่เชียงราย
มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง หลังจากที่เธอทำผิดพลาดซ้ำๆ มาหลายครั้งจนทำให้ชีวิตของตัวเองพังลง
มือเรียวบางไล้พวงแก้มอวบกลมของลูกน้อยที่กำลังนอนกางแขนกางขาบนที่นอน เธอทอดมองดวงหน้าของลูกอย่างแสนรัก หน้าตาของลูกคล้ายเขามาก แต่นิสามักย้ำว่าลูกคล้ายเธอมากกว่า
ขอบคุณที่หนูมาให้แม่รักนะครับ หนูเตือนสติแม่ในวันที่แม่อ่อนแอ แม่สัญญาว่าจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก
เงาร่างสูงที่เคลื่อนเข้ามาในห้องรับประทานอาหารสามารถดับเสียงพูดคุยของคนในห้องได้อย่างชะงัด กระทั่งเจ้าของเงาปรากฎตัวขึ้นตรงช่องประตู แล้วเดินเข้าไปข้างใน
“วันนี้กลับเร็วแฮะ เพิ่งสามทุ่มเอง ปกติต้องกลับเที่ยงคืนถึงตีสอง”
ชนกันต์ซึ่งเป็นน้องชายคนที่สองพูดเปรยๆ แต่พี่ชายใหญ่ที่เพิ่งเข้ามากลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขานั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะรับประทานอาหารตัวยาว โดยเว้นระยะห่างจากน้องทั้งสองคนไปพอสมควร
“งานที่บริษัทไม่เร่ง ไม่ทราบว่าเฮียไปเถลไถลที่ไหนมาครับ”
เมื่อถามลอยๆ ไม่ได้ผล ชนกันต์จึงส่งคำถามเจาะจงไปให้ ซึ่งได้ผล เขาได้ยินเสียงตอบงึมงำผ่านลำคอหนามาให้ได้ยิน
“มึงไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหม”
ถูกต่อว่าสักกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ชนกันต์ทำหน้ายุ่ง ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ต่อให้ถูกพี่ชายด่าว่า ‘เสือก’ เขาก็รับได้ แต่ตอนนี้พี่ชาย ‘ไม่ปกติ’ ใครๆ ก็มองออก... เหลือแต่เจ้าตัวที่ไม่ยอมรับความจริง
“ผมถามหน่อยเถอะ ทุกวันนี้เฮียมีความสุขไหม”
“มึงถามถึงเรื่องอะไร”
ยังมีอารมณ์ตีมึนอีกนะ!...ชนกันต์ถอนหายใจเฮือก หากก่อนที่เขาจะได้โต้วาทีกับพี่ชาย น้องชายคนสุดท้องก็พูดขึ้นมาเสียเอง
“เฮียออกไปกินเหล้าไม่เว้นวัน ทั้งที่เมื่อก่อนเฮียไม่ชอบดื่มสังสรรค์ เฮียบอกว่าตื่นเช้ามามันไม่สดชื่น สมองไม่แล่น ประสิทธิภาพการทำงานลดลง แต่ตอนนี้เฮียเป็นขาปาร์ตี้ไปแล้ว ใครจัดปาร์ตี้ที่ไหนก็ต้องบอกเฮีย รับรองไม่ผิดหวังสักราย”
ภพธรคนหน้านิ่งร่ายยาว ปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าได้พูดเมื่อไรก็มักไม่จบง่ายๆ
“ถ้าทำแล้วไม่มีความสุข กูจะทำทำไม พวกมึงเป็นอะไรถึงเซ้าซี้กูอยู่ได้ทุกวัน ถึงพวกมึงไม่เบื่อตัวเอง แต่กูโคตรเบื่อขี้หน้าพวกมึงเลยว่ะ”
เบื่อถึงขนาดเคยคิดแผนร้ายจะส่งเจ้าสองคนนี้ไปดูแลงานที่ออสเตรเลียให้รู้แล้วรู้รอด หวังจะให้อยู่ห่างๆ เขา แต่ติดตรงที่ก่อฤกษ์ซึ่งเป็นน้องชายฝาแฝดยังอยู่กับลูกเมียที่นั่น ธีทัตเลยต้องทนน้องชายสองคนนี้ต่อไปโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง
“ขอบคุณที่กรุณาตอบคำถามของกันต์ ทีนี้ผมขอถามบ้าง” ภพธรพูดเสียงเนิบ แล้วใช้สิทธิ์ถามต่อโดยเว้นช่องให้ใครขัด “ทำไมเฮียถึงยังทำอะไรคาราคาซังกับเมียเก่า น้องกวางเป็นเมียเก่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฮียแล้ว เฮียให้คนไปซื้อบ้านของเธอมาเก็บไว้ทำไม แล้วทำไมเฮียถึงจ่ายค่าเช่าบ้านที่ริมหาดหัวหินให้อดีตพ่อตา แถมยังจ้างแม่บ้านให้ดูแลอดีตพ่อตาอีกด้วย มันเป็นหน้าที่ของเฮียหรือเปล่า...ก่อนจะทำทำไมเฮียไม่ปรึกษาพวกเราก่อน”
“ทำไมกูต้องปรึกษาพวกมึง นั่นมันเป็นเงินส่วนตัวของกู กูไม่ได้เอาเงินส่วนกลางไปใช้!”
ธีทัตหลุดอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือความรู้สึกไม่พอใจที่ถูกล้วงลึกถึงเรื่องที่ตนต้องการเก็บไว้ให้เป็นเรื่องส่วนตัว...หากถ้อยคำต่อมาของชนกันต์ก็ทำให้เขารู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว
“อ้าว! สรุปว่าเฮียทำทั้งหมดนี้จริงๆ เหรอ ผมไม่อยากเชื่อเลย เฮียเกลียดน้องกวางอย่างกับอะไรดี ผู้หญิงอะไรหย่ากันแล้วแต่ยังตามตื๊อเฮียอยู่ได้ ไล่แล้วก็ไม่ยอมไป ตอนที่เฮียก่อเล่าให้พวกเราฟังว่าเฮียทำอะไรลงไปบ้าง ผมยังเถียงเลยนะว่าคนอย่างเฮียธีร์ไม่ทำเรื่องย้อนแย้งพวกนี้หรอก”
น้องชายทั้งสองคนตีหน้าซื่อมากเท่าไร ธีทัตก็ยิ่งตระหนักว่าเจ้าพวกนี้มันร้ายจริงๆ แว้งกัดได้แม้แต่พี่ชายตัวเอง!
