บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 คนแพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง

ชีวาพรทำข้าวกล่องสามสิบกล่องเสร็จในเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา วันนี้มีเมนูหมูทอดกระเทียมพริกไทยกับหมูผัดพริกหยวก โดยเธอต้องออกไปใช้ห้องครัวที่ต่อเติมขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันกลิ่นอาหารเข้ามารบกวนภายในพื้นที่ของร้านกาแฟ ระหว่างนั้นเธอจึงต้องวิ่งรอกดูแลลูกค้าที่มาซื้อกาแฟพร้อมกับดูแลลูกชายไปในตัว

นิสาหายไปเกือบครึ่งวัน เธอนึกสงสัยว่าเพื่อนหายไปทำอะไรตั้งนาน ตั้งใจว่าเมื่อทำงานเสร็จแล้วจะโทร.ไปถามสักหน่อย ทว่าเพียงครู่เดียว นิสาก็กลับมาพร้อมกับอารมณ์เคร่งเครียด

“ฉันทำข้าวกล่องเสร็จพอดี เธอให้รถมอเตอร์ไซค์เอาไปส่งลูกค้าได้เลยนะ”

“ได้สิ ขอโทษด้วยนะที่หายไปนาน เลยไม่ได้ช่วยเธอทำงาน พอดีเจ้าของที่เช่าร้านโทร.มาคุยเรื่องต่อสัญญา ฉันเลยขี่รถไปหาเขาที่บ้านเสียเลย เห็นหน้าเห็นตากันจะได้คุยกันง่ายขึ้น”

“เรื่องที่เขาจะเอาร้านคืนใช่ไหม”

“ใช่ ฉันขอยืดเวลาหนึ่งปี เขาไม่ตกลง แต่ยอมเซ็นสัญญาเช่าให้ฉันอยู่ต่ออีกหกเดือน พอครบหกเดือนแล้วค่อยว่ากันใหม่ เฮ้อ! พอไม่ใช่ที่ของเรา มันก็ยุ่งยากอย่างนี้แหละ”

“เขาจะเอาร้านคืน หรือเขาแค่อยากขึ้นค่าเช่าเพราะเห็นว่ายอดขายของร้านเราดีขึ้น”

ชีวาพรอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าอาจมันเป็นเทกนิคขอขึ้นค่าเช่าจากเจ้าของที่ แต่พอรู้เหตุผล มันก็ทำให้เธอสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม

“เขาต้องการร้านคืนจริงๆ เพราะเขาจะขายที่ดินตรงนี้ให้เจ้าของตึกด้านข้าง เห็นว่าตึกนั้นอยากได้พื้นที่สร้างลานจอดรถ การที่เขายอมต่อสัญญาเช่าให้ฉันอีกหกเดือน เพราะเขาอยู่ระหว่างต่อรองราคาขายที่ดิน แต่ช่างมันเถอะ ถ้าฉันต้องคืนร้านให้เขา ฉันก็แค่หาที่เปิดร้านใหม่ ฉันเครียดเรื่องที่เอาเงินของเธอมาต่อเติมห้องครัวเพื่อทำอาหารกล่องมากกว่า ยังไม่ทันได้ถอนทุนคืน ฉันยังคืนเงินให้เธอไม่ครบ เราก็ต้องย้ายที่แล้ว”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการสร้างอะไรในที่ดินของคนอื่น มันมีโอกาสถูกยึดทีหลังอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเงิน ฉันยังไม่เดือดร้อน ฉันยังพอมีสำรองใช้จ่ายเพียงพอ”

ชีวาพรทำใจกับเรื่องนี้ได้ เพราะเธอรู้ถึงความเสี่ยงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เธอกับนิสาตัดสินใจเสี่ยงทำมันเอง ซึ่งสุดท้ายมันก็เกิดเรื่องอย่างที่นึกกลัวไว้ ทีนี้พวกเธอจะทำอย่างไรได้ล่ะ นอกจากยอมรับผลกันไป

“ตั้งแต่เธอมาช่วยฉันทำงาน รายได้หลักของเรามาจากการทำข้าวกล่องส่งลูกค้ากับเมนูอาหารจานเดียวที่ขายในร้าน ลำพังยอดขายกาแฟและขนมมันแค่พอจ่ายค่าเช่าเท่านั้น ร้านใหม่ที่เราจะหา มันจึงต้องมีพื้นที่ให้เราทำอาหารพวกนี้ขายต่อ ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กันยาก”

“เธอมองหาร้านใหม่บ้างหรือยัง”

“หามาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่รู้ระแคะระคายว่าเขาจะขายที่ดิน แต่ฉันยังไม่เจอทำเลใหม่ที่ถูกใจ”

เมื่อฟังคำตอบของเพื่อน ชีวาพรก็ไม่อาจหลอกตัวเองว่าพวกเธออาจได้ร้านเหมาะๆ และทำเลดีเทียบเท่าร้านนี้เข้าสักวัน เพราะเมื่อมองลูกชายตัวกลมที่นั่งเล่นอยู่ภายในคอกกั้น เธอรู้ว่าตัวเองไม่อาจอยู่กับความไม่แน่นอนได้

“ถ้าเราหาที่เช่าร้านใหม่ไม่ได้ ส่วนร้านนี้มันมีแนวโน้มที่ต้องย้ายออกสูงอยู่แล้ว ฉันคิดว่าเรายังเหลือทางเลือกที่จะกลับไปหางานทำที่กรุงเทพฯ”

ชีวาพรรู้ดีกว่าการกลับไปหางานทำในกรุงเทพฯ อาจไม่ราบรื่นเช่นกัน แต่ถ้าจำเป็น เธอก็พร้อมที่จะเดินไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคนเพื่อให้เธอกับเพื่อนมีงานทำสำหรับเลี้ยงตัวเองกับลูกได้

“ฉันช่วยพ่อทำงานอยู่สองปี ช่วงนั้นฉันมีโอกาสได้รู้จักผู้ใหญ่อยู่บ้าง ฉันยังมีเบอร์โทร.ของพวกเขา ป่านนี้พวกเขาคงรู้แล้วว่าธุรกิจของพ่อไม่มีแล้ว พวกเขาคงรู้สถานการณ์ของครอบครัวฉันดี ถึงตอนนั้นถ้าเราหางานทำเองไม่ได้ ฉันจะไปขอให้พวกเขาช่วย”

ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมาเมื่อกี้เอง...เมื่อเธอมีลูก เธอจึงไม่อาจอ่อนแอและหนีปัญหาได้อีกต่อไป

นิสาตอบแบ่งรับแบ่งสู้กับคำชวนย้ายไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ชีวาพรเข้าใจเพื่อนดี นิสาคงอยากอยู่สู้ที่เชียงราย เพราะเจ้าตัวได้บุกเบิกงานและเรียนรู้งานไปพอสมควรแล้ว แต่เพื่อนก็บอกให้เธอสบายใจว่าถ้าหากเธอต้องการย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ ก็ทำได้เลย โดยไม่ต้องห่วงทางนี้ เพราะนิสาอยู่ตัวคนเดียว อย่างไรเสียก็มีความคล่องตัวมากกว่าเธอที่ต้องกระเตงลูกน้อยไปด้วยทุกที่

‘งานที่มีอนาคตและมีรายได้มั่นคงจำเป็นสำหรับเธอ เพราะเธอมีลูก บูบุ๊ยโตขึ้นทุกวัน อีกไม่กี่ปีเธอจะต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับลูกที่สูงมากขึ้น ถึงตอนนั้นมันอาจกลายเป็นค่าใช้จ่ายหลักของเธอ ถ้าเธอมีช่องทางทำงานที่กรุงเทพฯ เธอก็ต้องเลือก ส่วนฉันเอง...ฉันไม่มีแรงบันดาลใจที่จะกลับไป เพราะพ่อกับแม่ของฉันเกษียณราชการและย้ายกลับไปอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดทางภาคใต้แล้ว ฉันไม่คุ้นกับที่นั่นเสียด้วยสิ ฉันขออยู่ที่เชียงรายต่อไป ฉันชินกับที่นี่แล้ว’

นิสาบอกว่าตัวเองไม่มีใครอยู่ที่กรุงเทพฯ...ชีวาพรก็ไม่ต่างกัน เธอไม่มีครอบครัวแล้ว ตอนที่เธอออกปากชวนเพื่อนให้กลับไป ใจของเธอยังประหวัดไปถึงบ้านหลังเดิม เธอยังตัดใจจากบ้านหลังนั้นไม่ได้ เพราะเธอมีความทรงจำมากมายอยู่ที่นั่น เมื่อถึงวันหนึ่งที่เธอต้องเดินออกมา มันเป็นสถานการณ์บังคับให้เธอต้องจากบ้านหลังนั้น ทั้งที่ใจของเธอยังไม่พร้อมจาก

ชีวาพรไม่ได้ยึดติดกับทรัพย์สมบัติหรอก มันไม่มีความหมายสำหรับเธอ ทุกวันนี้เธอต้องการเพียงงานที่มีรายได้พอใช้จ่ายสำหรับตัวเองและลูกเท่านั้น แต่เธอยังทิ้งความทรงจำอันอบอุ่นและสวยงามที่บ้านเก่าไม่ได้ แม้ไม่หวังครอบครอง แต่เธอจะขอเก็บภาพจำไว้ต่อไป...ทว่าสิ่งที่หญิงสาวคิดนั้น มันอาจสวนทางกับพี่ชายและพี่สาวของเธอโดยสิ้นเชิง

ประตูห้องทำงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของสำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปถูกเปิดออก หลังจากเจ้าของห้องอนุญาตให้คนที่มาพบเขาเข้ามาในห้องได้

ธีทัตปรายตามองชายร่างสูงวัยไล่เลี่ยกับเขาที่เดินเข้ามา ซึ่งฝ่ายนั้นก็มองเขาอย่างประเมินเช่นกัน

“เชิญนั่งครับคุณเด่นภูมิ เมื่อวานคุณมาพบผมด้วยใช่ไหม”

ธีทัตพูดเข้าเรื่อง เพราะเขาไม่อยากเสวนากับ ‘พี่ชายของอดีตเมีย’ ให้ยืดเยื้อนัก แม้การพบกันครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง แต่เขาเชื่อว่าตนดูคนไม่พลาด...ธีทัตไม่ได้แปลกใจที่รู้ว่าเด่นภูมิปล่อยให้พ่อที่สุขภาพไม่ดีกับน้องสาวที่ด้อยประสบการณ์ในธุรกิจต้องแบกรับภาระกันเพียงสองคน แถมตัวเองยังเรียกร้องเงินจากพ่ออยู่เรื่อยๆ แม้ภายหลังจะรู้กิจการของครอบครัวย่ำแย่แล้วก็ตาม

“ใช่ แต่ผมไม่ได้เจอคุณ เลขาฯ ของคุณบอกว่าถ้าผมจะคุยกับคุณ ผมจะต้องนัดเวลาล่วงหน้า”

น้ำเสียงของเด่นภูมิเจือความหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก หากคนที่นั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ยังคงใจเย็น บอกด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

“เมื่อวานผมติดประชุมทั้งวัน ปกติผมไม่ค่อยอยู่ที่ห้องทำงาน ไม่ทราบว่าคุณเด่นภูมิอยากคุยกับผมเรื่องอะไร”

“ผมอยากรู้เรื่องบ้าน ทนายความบอกว่าบ้านของครอบครัวผมถูกขายไปแล้ว คนที่ซื้อก็คือคุณ แต่พอผมถามถึงเงินที่ได้จากการขายบ้าน ทนายความกลับบอกว่านำไปเคลียร์หนี้หมดแล้ว เงินไม่เหลือถึงผม มันจะเป็นไปได้ยังไง บ้านราคาตั้งยี่สิบกว่าล้าน ถ้าคุณซื้อและจ่ายเงินให้พ่อผมจริง เงินมันจะหมดได้ยังไง”

ยิ่งพูด เด่นภูมิก็ยิ่งโมโห เห็นได้ชัดเลยว่าในตอนแรกเขาได้พยายามสะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel